xs
xsm
sm
md
lg

โควิด-19 เป็นเหตุ ต้องปรับใหญ่กันแล้ว !!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เมืองไทย 360 องศา



บางครั้งถ้าไม่เกิดวิกฤตเราก็จะมองไม่เห็นปัญหา หรือความไร้ประสิทธิภาพที่ซุกซ่อนอยู่ในสถานการณ์ปกติ ดังจะเห็นจากกรณีการระบาดของเชื้อ “โควิด-19” รอบใหม่ ที่หนักหน่วงรุนแรง และขยายวงกว้างไปกว่ารอบแรกหลายเท่า แม้ว่าเราจะมีประสบการณ์ในการรับมือ และมีความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ และอุปกรณ์ในการป้องกันมากกว่าเดิมก็ตาม ทำให้ความหวาดวิตกและความโกลาหลไม่เท่ากับครั้งก่อน

อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์การระบาดยังลากยาว และยังมีผู้ติดเชื้อเป็นหลักร้อยเป็นรายวันแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มันก็น่าห่วงเหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับว่าเรายังไม่อาจควบคุมการระบาดรอบใหม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อเรื่องปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่ ธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นจากรอบแรกก็จะล้มหายตายจากเป็นใบไม้ร่วง ลองหลับตานึกภาพคนตกงาน ขาดรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ดังนั้น ได้แต่ภาวนาว่ารอบนี้จะสามารถควบคุมการระบาดได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องทำใจไว้ด้วย เพราะคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หลังจากได้เห็นความจริงว่า การระบาดได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศเกือบจะหกสิบจังหวัดแล้วในเวลานี้ แต่ถึงอย่างไร เมื่อพิจารณาจากตัวเลขล่าสุดพบว่ามีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังเป็นหลักร้อยอยู่ ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี

อีกด้านหนึ่งเมื่อมีการระบาดรอบใหม่คราวนี้ก็ได้เห็นถึงการ “ทุจริต” และความ “ไร้ประสิทธิภาพ” ของบรรดาเจ้าหน้าที่ ทั้งระดับรัฐมนตรีหลายคนที่เอาเข้าจริงเมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตขึ้นมาแล้ว ไม่อาจสามารถบริหารจัดการได้ รวมไปถึงปัญหาที่ไม่สามารถมองเห็นได้หากเป็นสถานการณ์ปกติ เพราะถูก “ซุกเอาไว้ใต้พรม” มานาน แต่ก็มาแตกดังโพละ จากผลของการสอบสวนโรค รวมไปถึงการเปิดเผยตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เริ่มระบาดระลอกใหม่ว่าเริ่มมาจาก “แรงงานผิดกฎหมาย” หรือแรงงานเถื่อน ทั้งข้ามแดนจากชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน มาจนถึงแหล่งพักพิงที่เริ่มระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร ก่อนที่จะกระจายไปทั่วประเทศ

ขณะเดียวกัน ในอีกบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด หรือแม้แต่ในกรุงเทพมหานคร และอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ ที่มีเรื่อง “บ่อน” เกิดขึ้นอยู่ตำตาชาวบ้าน และถูกเปิดโปงขึ้นมาเมื่อกลายเป็นแหล่งระบาดของโรค และเรื่อง “แดง” ขึ้นมา

สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้เกิดคำถามไปถึงฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง และตำรวจที่เป็นระดับผู้บังคับบัญชาว่า ที่ผ่านมา มีการเอาใจใส่ในการกวาดล้าง ป้องกันการทุจริตและสิ่งผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน

เพราะเรื่องแรงงานผิดกฎหมายย่อมต้องหมายถึง ขบวนการ “ค้ามนุษย์” นำแรงงานข้ามแดนและให้ที่พักพิง ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเรื่อง “ส่วย” ที่ต้องจ่ายและรับกันเป็นทอดๆ รวมไปถึงการเปิดบ่อนในพื้นที่ ซึ่งตามข่าวที่ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดเผยของฝ่ายแพทย์ที่ต้อง “สอบสวนโรค” จนได้ข้อมูลว่า “ติดเชื้อมาจากบ่อน” จนเกือบกลายเป็น “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” ไปแล้ว

แน่นอนว่า คำถามย่อมพุ่งตรงไปที่ผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานด้านปกครอง ความมั่นคง และตำรวจ ในความหมายที่เลี่ยงความรับผิดชอบไม่พ้นนอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังต้องตั้งถามโดยตรงไปที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

หากไล่เรียงมาแต่ละคนเริ่มจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารสูงสุดก็เลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว และในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง และเคยประกาศในเรื่องการปราบปรามการทุจริตเป็น “วาระแห่งชาติ” แต่ผลที่ออกมาล้วนน่าผิดหวัง

ถัดมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ดูแลฝ่ายความมั่นคงมายาวนาน มีภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และรับผิดชอบในมือมากมาย จนถือว่าเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “การค้ามนุษย์” ที่ก่อนหน้านี้ มีการประกาศเอาไว้อย่างขึงขัง

สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ หากย้อนกลับไปพิจารณาในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนาน 7 ปี ถือว่าไม่น้อย แต่กลายเป็นว่ามาจนถึงตอนนี้ ลักษณะการทำงานที่ออกมาจะเป็น “ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ” ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ดี ยังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนในรัฐบาลนี้ที่ไร้ผลงาน ทำงานไม่คุ้มค่า แต่เท่าที่ยกมาเป็นตัวอย่างเพราะมีความล้มเหลวชัดเจน ดังนั้น หากพิจารณาในภาพรวมๆ แล้ว หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้งคณะแล้ว ซึ่งฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติ “ซักฟอก” ในราวปลายเดือนนี้ และคาดว่า น่าจะได้อภิปรายในเดือนหน้า ก่อนปิดสมัยประชุมสมัยสามัญ

หลังจากนั้น น่าจะถึงเวลาต้อง “ปรับใหญ่” อีกสักครั้งกันได้แล้ว หากบางคนที่ไปไม่ไหวจริงๆ ก็สมควรที่จะเอา “ขึ้นหิ้ง” หรือปลดระวางไปได้แล้ว !!



กำลังโหลดความคิดเห็น