“ปิยบุตร” โต้ อยู่เบื้องหลังม็อบและมีแนวคิดล้มล้างสถาบัน มุกเก่า สะท้อน 3 ข้อ “ดูถูกเยาวชน-ไม่พร้อมเปลี่ยนแปลง-โหนสถาบัน” พอถามเรื่องปรองดองคิดแบบ “3 นิ้ว” เป๊ะ ด้าน “ถาวร” ท้าทันควัน ถ้าไม่จริง ฟ้องหมิ่นประมาทได้เลย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (26 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์หัวข้อข่าว [ ปิยบุตร อัด ถาวร ใช้มุกเก่าโจมตีอยู่เบื้องหลังม็อบและมีแนวคิดล้มล้างสถาบัน สะท้อน 3 ข้อ ดูถูกเยาวชน-ไม่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง-ใช้การเมืองเก่าโหนสถาบันอ้างความจงรักภักดี พร้อมชี้ใช้ 112 ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ]
เนื้อหาระบุว่า เมื่อวานนี้ ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวหาว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ ปิยบุตร แสงกนกกุล อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน รวมถึงกล่าวหาว่า เป็นผู้มีแนวคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
ปิยบุตร กล่าวว่า เท่าที่ฟังการชี้แจงและให้ข้อมูลของคุณถาวร ตนรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นข้อกล่าวหาที่เจอมาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ โดยไปค้นเอาหลักฐานที่เป็นเอกสารงานวิชาการของตน และบทสัมภาษณ์ของคุณธนาธร นำมาโยงมั่วไปหมด ซึ่งกรณีแบบนี้ก็เคยมีผู้โยงมาก่อนแล้ว นั่นก็คือ ณฐพร โตประยูร ที่ฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้วที่เรียกว่าคดีอิลลูมินาติ แต่ที่สุดศาลก็ยกฟ้องคดีนี้ไป
ปิยบุตร กล่าวว่า การแถลงข่าวของคุณถาวรในครั้งนี้ เป็นการใส่ร้าย เข้าข่ายหมิ่นประมาทอย่างชัดเจน แต่ส่วนตัว ที่ผ่านมา ก็อดทนในการใช้กฎหมายอย่างนี้ฟ้องร้องกัน เพราะเชื่อในเรื่องเสรีภาพการแสดงออก และเชื่อว่า ถ้าเป็นความเท็จประชาชนก็จะสามารถตัดสินได้เองว่าจะเชื่อใคร
อย่างไรก็ตาม การพูดของคุณถาวรในช่วงนี้ คือ พูดในช่วงที่มีการชุมนุมของคณะราษฎร พูดในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น ก็อดคิดไม่ได้ว่า วิธีคิดแบบนี้สะท้อนอะไรบ้าง ซึ่งน่าจะมีอยู่ 3 ข้อ คือ
1. สะท้อนถึงความเป็นกลุ่มคนที่ไม่ทันยุคสมัย ดูถูกเยาวชนอนาคตของชาติ มองด้วยแว่นสายตายุคเก่าอย่างเช่นในยุคสงครามเย็นว่าต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง
2. สะท้อนความหวาดกลัว ไม่พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง กับโลกใบใหม่ ไม่รู้จะจัดการอย่างไร จึงใช้วิธีการหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ให้สบายใจ
3. สะท้อนถึงการทำลายกันแบบเก่าๆ ใช้มุกเก่าๆ โดยดึงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือโจมตีอีกฝั่ง ทั้งที่ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมนั้นคือ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้คงอยู่คู่ประชาธิปไตย
“ถึงตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ต้องยอมรับว่าข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ถูกนำขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้ว ทางเดียวที่จะหาทางออกได้ ก็คือ การรับฟัง พูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ การปราบปรามไม่ทำให้อะไรดีขึ้น การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทำได้แต่เพียงปลอบใจตัวเองว่าจัดการได้ นี่คือ การเมืองเก่าที่อ้างเรื่องความจงรักภักดี ที่ไม่รู้จะคิดนโยบายมาใช้แข่งขันกันอย่างไร
และนอกจากนี้ แทนที่จะไปควานหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการชุมนุม อยากให้คนที่ทำรัฐประหาร รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ และผู้ที่สนับสนุนทั้งหลาย ได้หยิบกระจกขึ้นมาส่องดูตัวเอง แล้วคิดว่า คงจะเจอสาเหตุที่ทำให้คนออกมาชุมนุมชุมนุมได้”
ส่วนอีกประเด็น นายปิยบุตร กล่าวถึงหัวข้อ [ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าใครเป็นกรรมการปรองดอง แต่อยู่ที่เนื้อหาและขอบเขตการทำงาน ]
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีการตั้งคณะกรรมการปรองดอง และมีการเสนอชื่อ ธนาธร ปิยบุตร เข้าร่วมเป็นกรรมการชุดนี้ด้วย ปิยบุตร กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีคณะกรรมการปรองดองเกิดขึ้นมาแล้วหลายชุด ครั้งนี้ก็เช่นกัน สำหรับตนเองนั้น หลักคือไม่ใช่ว่าใครที่ไปนั่งเป็นกรรมการบ้าง แต่ต้องเป็นเรื่องของเนื้อหา และขอบเขตของการทำงานนี้ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่
1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก และเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่อย่างสันติ
2. การร่างรัฐธรรมนูญใหม่
3. ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งถ้าจงใจละเลยข้อใดไป คณะกรรมการชุดนี้ก็จะเหมือนชุดก่อนๆ คือ มีแต่รายงาน ไม่ได้ถูกนำไปใช้ ดังนั้น ไม่สำคัญว่า ตน หรือ ธนาธร จะเข้าไปอยู่ในกรรมการหรือไม่ แต่อยู่ที่มีการพูดคุยข้อเรียกร้องนี้หรือไม่
“ผมพูดหลายครั้งว่า ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นผมเข้าไปร่วม เพราะเนื้อหาที่ต้องคุยกันทั้ง 3 เรื่องนั้น มันอยู่ในที่สาธารณะอยู่แล้ว อยู่ที่กรรมการตั้งใจจะทำเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งพอได้มาเห็นโครงสร้างของกรรมการแล้ว ก็พบแต่กลุ่มคนที่โจมตีผู้ชุมนุม จะเอาคนเหล่านี้หรือมาเป็นคนสร้างความปรองดอง เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. ก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายที่มีชุดความคิดเดียวกันเชื่อมโยงมาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช. ดังนั้น จึงกลัวว่าจะมาเป็นพวกที่ตีกรอบว่าเรื่องไหนพูดได้ เรื่องไหนพูดไม่ได้ ซึ่งคิดว่าจะไม่ได้สร้างบรรยากาศในกการพูดคุยเลย” ปิยบุตร กล่าว
ขณะเดียวกัน นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ตนได้แถลงข่าวเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นการนำความจริงมาเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อให้สังคมไทยได้รับรู้รับทราบถึงความเป็นมาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน อันมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประเพณีแห่งการปกครองที่ดีงาม เหมาะสมกับสังคมไทย
นายถาวร กล่าวว่า คุณูปการขององค์พระมหากษัตริย์ที่มีต่อชาติไทย เป็นประวัติศาสตร์ชาติที่หลายๆ ชาติไม่มี การเกื้อกูลประชาชนไทยของสถาบันพระมหากษัตริย์มีมาแต่โบราณหลายร้อยปี ถึงปัจจุบันนี้คุณูปการแห่งองค์พระมหากษัตริย์ก็มีอยู่เสมอ
“การที่คุณปิยบุตรออกมาตอบโต้เพียงเชิงวาทกรรม ด้วยถ้อยคำว่า ใช้มุกเก่าอยู่เบื้องหลังม็อบ-มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน ชี้สะท้อน 3 ข้อ คือ ดูถูกเยาวชน-ไม่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง-ใช้การเมืองเก่าโหนสถาบัน และ ส.ส.พรรคก้าวไกล บางคนกล่าวว่า เอาวาทกรรมเดิมๆ มาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้าม การที่ทั้ง 2 คน ตอบโต้โดยไม่ได้ชี้แจงว่า กระผมพูดเรื่องใดที่ไม่ถูกต้อง แต่เพียงโต้ด้วยเหตุอื่นที่ไม่กล่าวให้ชัดแจ้งถึงการโต้แย้งด้วยเหตุผล เป็นเพียงการใช้วาทกรรมเท่านั้น”
นายถาวร กล่าวอีกว่า ขอย้ำจุดยืนเดิมที่ต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 50 ซึ่งมีอยู่ว่า “พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
“หากคุณปิยบุตร และ ส.ส.พรรคก้าวไกล ต้องการพิสูจน์ความจริงที่เกิดขึ้น ผมเป็นนักกฎหมาย คุณปิยบุตรก็เป็นนักกฎหมาย ผมขอท้าให้เร่งฟ้องร้องต่อศาล เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งความจริงเพียงหนึ่งเดียวต้องได้รับการพิสูจน์ อย่าเพียงใช้วาทกรรมล่อหลอกเบี่ยงประเด็นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการเท่านั้น กระผมเชื่อว่า การพิสูจน์ความจริงทั้งหมดจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนที่จะได้รับทราบเบื้องลึก ตื้น หนา บาง กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้” นายถาวร กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 63 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม แถลงเกี่ยวกับคนที่อยู่เบื้องหลังม็อบเยาวชน คณะราษฎร 63 โดยสาระสำคัญตอนหนึ่งระบุว่า
กรณีการชุมนุมของกลุ่ม “ราษฎร” นั้น จากการที่ตนได้ติดตามความเป็นมาและความเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมาประมาณ 1 ปี ยืนยันได้ว่า มีผู้ที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มนี้ และขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน มีการใช้เด็กเยาวชนเป็นสะพานเชื่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีเป้าหมาย คือ การล้มล้างสถาบันฯ แม้เลี่ยงไปใช้คำว่าปฏิรูปเพราะปรากฏความสอดคล้องระหว่างหลักคิดของคนบงการที่ถูกนำไปปฏิบัติในการชุมนุมของกลุ่มดังกล่าว เป็นหลักคิดชุดเดียวกัน คือ ต้องการเปลี่ยนแปลงสถาบันฯ ที่เป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองของกลุ่มตัวเอง
จากนั้น นายถาวร ได้นำคลิปวิดีโอที่ระบุว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวบรรยายที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ มาเปิดต่อหน้าผู้สื่อข่าว โดย นายถาวร กล่าวว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมนั้น เริ่มตั้งแต่กรณีที่นายปิยบุตรไปพูดที่มหาวิทยาลัยลอนดอน เรื่อง “Thailand in a Deeper State of Crisis?” เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2559 กล่าวหาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ว่า มีอำนาจอิทธิพลเหนือผู้พิพากษา ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะพระราชดำรัสที่ตรัสต่อศาลในวันที่ 24 เม.ย. 2549 นั้น ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ไม่ได้สั่งการอะไรที่ไม่มีกฎเกณฑ์ต่อศาล และพระองค์ไม่เคยดำเนินการตามใจชอบนอกเหนือที่รัฐธรรมนูญกำหนด รวมถึงทรงย้ำว่า ไม่เคยใช้อำนาจของพระองค์ ตามที่นายปิยบุตรบิดเบือน
นายถาวร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ร่วมสมคบคิด ซึ่งเห็นได้จากคำพูดของนายธนาธรในหนังสือ “Portrait ธนาธร” ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อเดือน พ.ย. 2561 ระบุว่า “...วิธีการของเราคือต้องมีอำนาจและต่อรอง (กับ) ×××× นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้หรอก จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ จัดการเรื่องศาลไม่ได้หรอก จัดการเหี้ยห่าอะไรไม่ได้...” และนายธนาธรได้ไปพูดในงานวิชาการหลายแห่ง ซึ่งมีเนื้อหาตอกย้ำการปฏิรูปสถาบันฯ รวมถึงการที่นายธนาธรและนายปิยบุตร จัดตั้งพรรคการเมืองมาดำเนินการต่างๆ ที่พุ่งเป้าเรื่องสถาบันฯ แต่สุดท้ายพรรคนั้นถูกยุบ เพราะทำผิดกฎหมาย...
นอกจากนี้ นายถาวร ยังหยิบยกอีกหลายต่อหลายเรื่อง ที่ทั้งสองคนแสดงทัศนะเกี่ยวกับสถาบันฯ ในเวทีสาธารณะต่างๆ พร้อมระบุวันเวลาสถานที่อ้างอิงเบ็ดเสร็จ ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ นายถาวร ในฐานะนักกฎหมายที่เจนจัดคนหนึ่ง ย่อมรู้ว่า ข้อมูลที่ตนเองนำมาแถลงใหญ่โต ต้องมีมิติที่ต่างจาก กรณี ณฐพร โตประยูร อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ และศาลยกฟ้อง มิเช่นนั้น คงไม่กล้าท้าทายให้ฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อพิสูจน์ความจริงในศาล
อีกอย่างที่ นายถาวร สรุป การตอบโต้ของนายปิยบุตร ก็ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่า อะไรที่ไม่เป็นความจริง เพียงแต่ใช้วาทกรรมเบี่ยงเบนเท่านั้น
ที่สำคัญ ท่าทีต่อคณะกรรมการปองดอง ของ นายปิยบุตร แม้ว่าจะมีชื่อตัวเอง และ นายธนาธร เป็นกรรมการในคณะนี้ด้วยก็ตาม แต่สิ่งที่ นายปิยบุตร ประกาศเอาไว้ก็คือ ถ้าไม่มีการพูดตามข้อเรียกร้องของ “ม็อบราษฎร 63” 3 ข้อ คือ นายกฯลาออก แก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันฯ ก็ไม่มีประโยชน์ และนี่คือ จุดยืนของตนด้วยเช่นกัน
อย่างนี้แล้ว ต่อให้ นายถาวร ไม่ต้องยกพยานหลักฐานมากมายมาประกอบการแถลงว่า “ปิยบุตร-ธนาธร” อยู่เบื้องหลังม็อบ ทุกคนก็วิเคราะห์ได้อยู่แล้ว
หรือต่อให้อมพระสัก 10 วัดมาพูด ก็คงไม่มีใครเชื่อว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังจริง เพราะจุดยืนที่เป็นเนื้อเดียวกับม็อบทุกอย่าง แล้วจะให้เรียกว่า อะไร???