เมืองไทย 360 องศา
สังเกตหรือไม่ว่าช่วงนี้เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ เข้ามามากขึ้น แต่กลิ่นที่ว่านั้นมาในความหมายลักษณะเป็นการ “จงใจ”สร้างขึ้นมาเพื่อหวังผลบางอย่างตามมาเท่านั้น เหมือนกับสถานการณ์ในเวลานี้ ที่ถือว่ากำลังงวดเข้ามาทุกขณะ โดยเฉพาะกับพวก “ม็อบสามนิ้ว” ที่กำลังถูกจับตามองกันว่าจะ “เดินต่อกันอย่างไร” ในเส้นทางข้างหน้า
เพราะหากพิจารณาจากแนวโน้มและบรรยากาศเท่าที่เห็นมันก็เหมือนกับว่า “เดินไปชนกำแพง” ไปต่อลำบาก ทำให้หลายฝ่ายกำลังเฝ้ามองกันว่าพวกเขา โดยเฉพาะบรรดา “แกนนำ” ที่ก่อนหน้านี้ ฮึกเหิมสุดขีด และก้าวร้าวแบบทะลุเพดาน จะ “หาทางลง” กันอย่างไร หรือว่าอีกด้านหนึ่งจะต้อง “ไปให้สุด” ในแบบไหนกันแน่
ที่ผ่านมา หากมองตามสถานการณ์แล้ว ก็ต้องบอกว่า การชุมนุมก่อนหน้านี้ของพวก “ม็อบสามนิ้ว” ถือว่าสร้างแรงกดดันมากพอสมควร ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นการใช้บรรดา “เด็กๆ” นำหน้า แม้ว่าหากมองเข้าไปภายในวงม็อบทุกครั้งก็จะเห็นพวกมวลชนการเมืองหน้าเดิมๆ ปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก หรืออาจจะเรียกว่าเป็น “มวลชนหลัก” เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากเข้าใจกันตั้งแต่แรกแล้วว่า พวกนี้เป็นมวลชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล แล้วมีลักษณะ “หยิบยืม” มวลชนคนเสื้อแดงมาร่วมจาก “เครือข่ายทักษิณ” บางส่วน
จากการชุมนุมที่เคยพุ่งเป้ามาจากการกดดันเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออก และให้แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ซึ่งก็ถือว่าได้แนวร่วมมากมาย มีมวลชนเข้าร่วมจำนวนมาก แต่หลังจากนั้น เมื่อเส้นทางเริ่มเลี้ยวไปสู่การมุ่งโจมตี “พระมหากษัตริย์” และสถาบันพระมหากษัตริย์ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที
ประกอบกับเนื้อหาการพูดปราศรัยบนเวทีล้วนเต็มไปด้วยความ “หยาบคาย ก้าวร้าว” มันก็ยิ่งทำให้สังคมเกิดความสงสัย และส่วนใหญ่ล้วนรับไม่ได้ เพราะถือว่า “เลยธง” ไปไกลแล้ว
ขณะเดียวกัน ทำให้เกิดความสงสัยกันว่าแท้ที่จริงแล้วข้อเรียกร้องที่ต้องการให้มีการ “ปฏิรูป” สถาบันกษัตริย์ นั้นเมื่อพิจารณาในเนื้อหากันแบบต่อเนื่องแล้วมันก็คือความหมายในแบบ เจตนา “ล้มล้าง” นั่นเอง จนทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาไปทั่วประเทศ
จากสถานการณ์และความเคลื่อนไหวตอบโต้ในแบบ “แสดงพลัง” ให้เห็น อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้ “ความฮึกเหิม” ของกลุ่มม็อบสามนิ้วลดลง อีกทั้งสถานการณ์การชุมนุมของพวกเขา ก็รุกคืบไปมากกว่านี้ได้ยาก และที่สำคัญเวลานี้ “เงื่อนไข” ก็ลดลง โดยเฉพาะเมื่อสภารับหลักการในญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในแบบที่ให้ตั้ง ส.ส.ร.เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เกือบทั้งฉบับ ยกเว้นในหมวดที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ซึ่งพรรคการเมืองทุกพรรคต่างส่งตัวแทนเข้าร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญแปรญัตติภายใน 15 วัน
แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าอีกยาวไกลสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเห็นแนวโน้มจากวันนี้แล้วก็ถือว่า “ตกผลึก” ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่นอน และถือว่าทุกอย่างเริ่มนับหนึ่ง สำหรับตอบสนองข้อเรียกร้องในเรื่องประชาธิปไตย และหากนับตามไทม์ไลน์แล้วตามขั้นตอนก็จะใช้เวลาไม่เกิน 1-2 ปี ก็จะได้รัฐธรรมนูญใหม่ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะพ้นจากตำแหน่ง และมีการเลือกตั้งใหม่ นั่นคือ เส้นทางปกติ ที่ถือว่า “เป็นความสำเร็จ” แล้ว
อย่างไรก็ดี กลายเป็นว่า พวก “แกนนำม็อบสามนิ้ว” ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะมีเป้าหมายมากไปกว่านั้น นั่นคือ ต้องการ “ล้มล้าง” พระมหากษัตริย์ และสถาบันฯตามที่ “คนชักใย” ข้างหลังต้องการ รวมไปถึงเป้าหมายของการ “นิรโทษกรรม” แบบ “เลยซอย” ซึ่งรับรองว่าไม่มีใครยอมแน่นอน
และด้วยบรรยากาศและแนวโน้มเท่าที่เห็น และเมื่อพิจารณาจากมวลชนที่เข้าร่วมที่นับวันมีจำนวนน้อยลง ไม่คึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ ทำให้หลายคนจับตามองว่า คนพวกนี้จะมีบทสรุปอย่างไร และ “จะหาทางลง” ได้หรือไม่ หรือว่า “จะลุยต่อ” ไปแบบนี้เรื่อยๆ
เพราะหากพวก “แกนนำ” ไม่พยายามหาทางลง มันก็ต้องเดินหน้าลุยต่อ แต่จะเป็นแบบไหน ซึ่งอย่างที่มีบางคน “ปูดข่าว” เรื่องการ “รัฐประหาร” ที่ออกมาจากปากของ “เพนกวิน” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และคำพูดของ นายอานนท์ นำภา ที่กล่าวถึงเรื่องการต่อสู้ของ “หมาจนตรอก” ขึ้นมาในช่วงเวลานี้ สอดคล้องประจวบเหมาะกับการนัดหมายชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งชัดเจนว่าต้องการสื่อเป้าหมายอย่างไร
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นจริงในเวลานี้ถือว่า “ม็อบฝ่อลง” เรื่อยๆ มันถึงต้อง “สร้างสถานการณ์” บางอย่างขึ้นมาหรือไม่ ทั้งการปูดข่าวดังกล่าว เพื่อสร้างกระแสดึงมวลชนให้มาเพิ่มขึ้น และสองให้จับตาการสร้าง “ความรุนแรง” ขึ้นมาแล้ว “โบ้ยความผิดให้เจ้า” หรือยั่วยุให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมาในวันดังกล่าว เพราะมีแต่สองเรื่องนี้เท่านั้นที่จะ “เรียกแขก” หรือแม้แต่การสร้างเงื่อนไขให้ “ต่างชาติเข้าแทรกแซง” เพราะอย่างที่รับรู้กันว่า ม็อบนี้มีประเทศตะวันตกร่วมชักใยอยู่ด้วย จากผลประโยชน์ระหว่างประเทศที่จะใช้ไทยเป็นฐานเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาค เป็นต้น
ดังนั้น งานนี้ถึงได้บอกว่าให้ระวังอันตรายจาก “การสร้างเหยื่อ” เพื่อให้ได้ไปต่อ หรือการหาทางลงแบบ “ลี้ภัย” ไปต่างประเทศตามที่มีรายงานก่อนหน้านี้ เพราะหากเดินไปตามทางปกติ มันก็น่าจะถึงทางตัน ไม่มีทางสำเร็จ ทำให้ต้องจับตาการต่อสู้แบบ “หมาจนตรอก” ที่ถอยไปไม่ได้ เดินหน้าก็ตันหรือเปล่า !!