xs
xsm
sm
md
lg

ไม่แคร์! “เกษียร” โต้สาวก 3 นิ้ว “เมื่อรู้ก็พูด เมื่อพูดก็พูดให้หมดเปลือก” “สุวินัย” ชี้ปีศาจ “เรดการ์ด” ครอบงำ!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ศาสตราจารย์ เกษียร เตชะพีระ จากเฟซบุ๊ก  Kasian Tejapira
หวังดี-ไม่มีผลประโยชน์-ไม่แคร์! “เกษียร” ยึดสูตรประธานเหมาฯ “เมื่อรู้ก็พูด เมื่อพูดก็พูดให้หมดเปลือก, ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวร...” โต้สาวก 3 นิ้ว “สุวินัย” ชี้ ปีศาจ “เรดการ์ด” ครอบงำ ทัวร์ลง “มหามิตร”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Kasian Tejapira ของ ศาสตราจารย์ เกษียร เตชะพีระ อดีตหัวหน้าสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า

“...เอาเข้าจริง ผมไม่รู้นะครับว่าทัวร์ลง และถึงรู้ผมก็คงไม่แคร์

“ทัวร์ลง” ที่ผมไม่รู้หนแรกสุด (ถ้าใช้คำๆ นี้ย้อนเวลา) คือ เมื่อผมเขียนบทความ “ปรากฏการณ์ม็อบพันธมิตรฯ” ลงมติชนรายวันเมื่อปี 2551 แล้วสักสองสามสัปดาห์ให้หลัง ก็ได้อีเมลจากเพื่อนเก่าแก่จากอเมริกาว่า บทความนั้นของผมถูกส่งกระจายข้ามแดนไปทั่วในเส้นสายนักกิจกรรมเก่าที่สนับสนุนพันธมิตรฯพร้อมคำวิพากษ์แบบด่าแหลก เพื่อนผมคนนั้นเห็นเข้าทนไม่ไหวก็เลยโต้ไปให้และบอกข่าวให้ผมทราบ

มาหนนี้ก็เช่นกัน ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่า ทัวร์ลงจนมีสำนักข่าวออนไลน์บางแห่งรายงาน และเพื่อนๆ บางท่าน เช่น อาจารย์ Puangthong Pawakapan อาจารย์ Boonlert TuAnt และคุณ Atukkit Sawangsuk เขียนแสดงความเห็นด้วย และอธิบายเพิ่มเติมแล้วผมได้อ่านเข้าต่อมา

ถ้าจะพูดอย่างรูปธรรม ผมไม่มีปัญหากับเรื่องคำหยาบหรือการสาดสีทาสีอะไรโดยตัวมันเอง ขอแต่ยึดกุมเป้าการเมืองให้ชัดเจนและทำอย่างเข้าใจผลกระทบ แต่สิ่งที่กระตุกผมให้เขียนโพสต์นั้นคือ คำบอกเล่าจากเพื่อนบางคนว่า มีการเสนอให้ “looting” (ปล้นชิงร้านรวง) อันนี้ผมคิดว่า ถ้าเกิดก็แย่มาก และทำลายขบวนการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาให้ด่างพร้อยไปหมด จึงเขียนแสดงความเห็นตรงไปตรงมา แต่ก็เสนอเชิงหลักการกว้างๆ เพื่อเคารพผู้อ่านที่จะไปตีความประยุกต์กันเองตามสภาพการณ์จริงเฉพาะหน้า

คนรุ่นผมนั้น ถูกขัดเกลาและผ่านประสบการณ์ของการวิจารณ์และวิจารณ์ตนเองตามสูตรประธานเหมาเจ๋อตงมา สรุปก็คือ “เมื่อรู้ก็พูด เมื่อพูดก็พูดให้หมดเปลือก”, “ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวร”, “ถ้าผิดก็แก้ ถ้าไม่ผิดก็ถือเป็นข้อเตือนใจ”, “เข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนคนอื่น” เป็นต้น

เมื่อปรับประยุกต์และตีความแบบผมก็คือ เวลาผมวิจารณ์คนอื่น ผมพยายามยึดถือหลัก 2 ข้อ 1) ผมรักและหวังดีต่อผู้นั้นพอที่ผมจะลงทุนลงแรงไปทำงานความคิดในการวิจารณ์ 2) ผมไม่มีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องโดยส่วนตัว จึงสามารถพูดได้เต็มที่ เพื่อให้แก่ผู้ถูกวิจารณ์ อย่างไม่หวังผลตอบแทน

ผมคิดว่า หนนี้ผมก็ยึดหลักนั้นเช่นกัน เมื่อยึดแล้ว ผลลัพธ์ตอบสนองจะเป็นอย่างไร ทัวร์ลงหรือไม่ ผมไม่แสวงหาที่จะไปรับรู้และพูดให้ถึงที่สุดผมก็ไม่ได้แคร์ เพราะผมเข้าใจว่าอะไรที่คนอื่นให้กับเรามา เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ นั้น ไม่อยู่กับเรายั่งยืน เขาจะเรียกกลับคืนเมื่อไรก็ได้ สิ่งที่อยู่กับเรายั่งยืน คือผลงานของเราที่ทรงคุณค่ากับตัวเรา
เองเท่านั้น”

ภาพ รศ.สุวินัย ภรณวลัย จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ รศ.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“ขนาดอาจารย์เกษียร เตชะพีระ ซึ่งเป็นมหามิตรของม็อบคณะราษฎร ยังโดนทัวร์ลงเลย เมื่อออกมาแนะนำ ตักเตือนม็อบคณะราษฎร ด้วยความหวังดี จากประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนของเขา ที่เคยเข้าป่าจับปืนเป็นนักปฏิวัติในช่วงหลัง 6 ตุลา 2519 ก่อนออกจากป่า ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา แล้วกลับมาเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวลาต่อมา

นี่คือ #ตัวอย่างรูปธรรมล่าสุดของปรากฏการณ์ซ้ายไร้เดียงสา ในขบวนการม็อบคณะราษฎร และบ่งบอกชัดเจนว่า #mentality แบบพวกเรดการ์ด ได้ครอบงำจิตใจคนรุ่นใหม่พวกนี้ รวมทั้งชี้นำทิศทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการคณะราษฎร 2563 นี้อยู่ คนพวกนี้คงกู่ไม่กลับแล้ว และจุดจบของขบวนการม็อบคณะราษฎรนี้ก็คงอยู่ไม่ไกลด้วย

จะว่าไปแล้ว #คนที่อยู่เบื้องหลังขบวนการม็อบคณะราษฎรนี้ เป็นคนปลุกปีศาจในจิตใจเยาวชนขึ้นมาเอง พวกเขาทำการปล่อยปีศาจตัวนี้ออกมา แต่สุดท้ายกลับคุมปีศาจตนนี้ไม่ได้เสียแล้ว... นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

ต่อไปเรื่องราวความล่มจมล้มเหลวของขบวนการม็อบคณะราษฎร จะเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาว่า ... “คนรุ่นใหม่” สมัยนั้น ทำลายตัวเองให้พินาศในเวลารวดเร็วแบบทำลายสถิติได้อย่างไร”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 63 เฟซบุ๊ก Kasian Tejapira ของ ศ.เกษียร โพสต์ข้อความ ตักเตือนม็อบราษฎร 63 ว่า

“การเมืองคือการหาพวกหาเพื่อน ไม่ใช่การระบายความโกรธแค้นหรือเอาคืนโดยไม่เลือกวิธีการ เป้าทางการเมืองต้องชัดเจนและเป็นตัวนำกำกับการต่อสู้ แน่นอนการระบายความโกรธแค้นหรือเอาคืนเป็นเรื่องเข้าใจได้ และก็คงมีในฐานะมนุษย์ปุถุชน แต่ถ้ากำลังต่อสู้ทางการเมือง ก็ควรระมัดระวังไม่ให้มันไปทำลายแนวร่วม โดดเดี่ยวตัวเอง บ่อนเบียนความชอบธรรมของวิธีการต่อสู้ของคนนับหมื่นนับแสนคนที่ร่วมกันช่วยกันยึดมั่นมา
ทุนที่คนไม่มีอาวุธ ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีอำนาจทุนมี ก็คือ ความชอบธรรมทางการเมือง ซึ่งฝ่ายอำนาจรัฐไม่มี เพราะได้อำนาจมาและรักษาอำนาจไว้โดยไม่ชอบธรรม อย่าทำลายจุดแข็งของตัวเองให้ลงไปอ่อนแอเท่าคู่ต่อสู้ อย่าทำลายทุนทางการเมืองที่มีในขณะที่ยังขาดแคลนทุนด้านอื่นๆ”

สำหรับ “เกษียร” ข้อมูลจากวิกีพีเดียพบว่า เขาเคยผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 มาก่อน โดยในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เขาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย เพราะวันที่ 5 ตุลาคม เขารับหน้าที่ดูแลหน้าเวทีและเป็นโฆษกประจำเวทีในช่วงผลัดสายและกลางวัน ส่วนกลางคืนเป็นเวร กฤษฎางค์ นุตจรัส และ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เช้าวันที่ 6 ตุลานั้นเองก็มีการล้อมปราบนักศึกษา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

จากนั้น เขาตัดสินใจเข้าป่าพร้อมเพื่อนนักศึกษาหลายคน หนึ่งในนั้นคือ เสถียร เศรษฐสิทธิ์ (หมอคง) ได้ชื่อใหม่ว่า “สหายมา” โดยเข้าไปอยู่บริเวณรอยต่อไทย-กัมพูชา และมีฐานที่มั่นอยู่ที่ อ.ตาพระยา จ.ปราจีนบุรี รับหน้าที่เป็นนักข่าวนักหนังสือพิมพ์กับครูโรงเรียนการเมืองการทหาร

ภาพ การชุมนุมของกลุ่มราษฎร 63 จากแฟ้ม
แน่นอน, นี่มิใช่แค่ทัวร์ลงธรรมดา กับใครก็ตามที่มีความเห็นต่าง หรือ ตำหนิติเตือน หากแต่ถ้าไม่เว้นแม้แต่ “มหามิตร” ผู้หวังดี และยืนข้างม็อบนักเรียน นิสิตนักศึกษา มาตลอด ในฐานะคนเดือนตุลา ที่มีประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวมาอย่างโชกโชน รวมถึงบทเรียนที่ควรค่าต่อการน้อมรับของ “คนรุ่นใหม่”

แต่ไม่เพียงถูกปฏิเสธ หากแต่ยัง “ทัวร์ลง” พากันประณามหยามหมิ่นต่างๆ นานาด้วย

เกิดอะไรขึ้นกับ “คนรุ่นใหม่” ที่กำลังเคลื่อนไหวในนามม็อบ “ราษฎร 63” ดูเหมือน ดร.สุวินัย ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ว่านี่คือ ปรากฏการณ์ “ซ้ายไร้เดียงสา” ในขบวนการม็อบราษฎร 63 ที่ขบวนการต่อสู้ของนักศึกษาประชาชน กลัวนักหนาว่า แกนนำจะล้ำหน้า มวลชน

นี่คือ การบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า พวกเขาถูก “เรดการ์ด” ครอบงำทางความคิด และจิตใจ รวมทั้งชี้นำทิศทางการเคลื่อนไหว

ที่สำคัญ นี่คือ คนที่อยู่เบื้องหลังขบวนการม็อบราษฎร 63 เป็นคนปลุกปีศาจในจิตใจเยาวชนขึ้นมาเอง ปล่อยปีศาจตัวนี้ออกมา แต่สุดท้ายกลับคุมปีศาจตนนี้ไม่ได้เสียแล้ว

เหนืออื่นใด สิ่งที่น่าสนใจที่สุด อาจมิใช่แค่ ศ.เกษียร ทัวร์ลง เพราะไม่เหนือความคาดหมายของคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎร 63 อยู่แล้ว

หากแต่ ม็อบราษฎร 63 จะเหิมเกริมขั้นไหน จนนำมาสู่จุด “แตกหัก” ของสองขั้วขัดแย้งในสังคมไทย ระหว่าง คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ คนที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ กับคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ

ถ้าไม่มีใครหยุดยั้งได้ ความเปลี่ยนแปลงจะมาเร็ว อย่างที่ม็อบราษฎรฝันกลางวันแสกๆ หรือเหตุการณ์นองเลือดจะไม่มีทางหลีกเลี่ยง ไม่มีทางเลือก อย่างที่ไม่มีใครคาดฝัน เป็นเรื่องที่จะต้องช่วยกันหยุดเหตุการณ์ความรุนแรงให้ได้ ก่อนที่จะสายเกินไป


กำลังโหลดความคิดเห็น