ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จาก “สมัคร” ชิมไปบ่นไป ถึง “ลุงตู่” พักอยู่บ้านหลวง หรือ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ? ผ่าทางตันหาทางลงให้ผู้นำไม่ต้องรอรัฐประหาร!!
ว่ากันว่า สถานการณ์การเมืองของประเทศไทยเดินทางมาสู่จุดอับที่ปลายทางมีแต่ตีบตัน โดยการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มคณะราษฎรที่ดูๆ กันแล้วก็คงจะลากถ่วงออกไปอีกยาว เห็นจากเมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) ที่แสดงให้เห็นว่า “ม็อบ 3 นิ้ว” เคลื่อนไหวไม่ยอมไม่ลดละ “ถอยคนละก้าว” และ น่าจะกดดันใส่ฝ่ายรัฐต่อไป
เชื่อกันว่า ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออก การเผชิญหน้ากันระหว่างม็อบ 3 นิ้ว กับรัฐบาล และลุกลามไปถึงสถาบันฯ หากไม่จบลงด้วยความรุนแรง ก็อาจจะนำไปสู่ “รัฐประหาร” อย่างไม่มีทางเลิอก แต่ไม่ว่าทางใด ประเทศมีแต่เสียหาย และในความมืดมนของสถานการณ์ ประเด็นหนึ่งที่ถูกจับตามองขณะนี้ว่า อาจจะเป็น “ทางออกฉุกเฉิน” ให้ประเทศได้ นั่นคือ คดีบ้านพักของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งศาล รธน.จะวินิจฉัยในวันที่ 2 ธ.ค.นี้
ปมการพักอยู่บ้านหลวงหลังเกษียณนานกว่า 6 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นคำร้องที่ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กับคณะ เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย การเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสิ้นสุดลง อาจเป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากยังอยู่บ้านพักทหาร ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์การพักอาศัย เพราะเกษียณอายุราชการไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์
ฝ่าย “ลุงตู่” เคยยกเหตุผลว่า หลังเกษียณแล้วทำไมยังอยู่บ้านพักหลวง เพราะตัวเองทำงานรับใช้ชาติมาตลอดชีวิต ถึงกฎระเบียบจะว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ก็ยังทำงานอยู่ ปัญหาคือตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรักษาความปลอดภัยในฐานะผู้นำประเทศ ซึ่งก็เตรียมการไปอยู่บ้านตัวเองอยู่แล้วแต่ก็เวลาก็ล่วงเลยมา 6 ปีดังว่า
มองกันว่า คดีนี้ “ลุงตู่” มีสิทธิ์หนาว...โอกาสตกเก้าอี้เป็น “กิ้งกือหกคะเมน” ได้ หากมองย้อนประวัติศาสตร์ที่สถานการณ์การเมืองคล้ายๆ กันในสมัยรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เพราะกรณีนี้เคียงกับกรณี สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีจัดรายการทำอาหาร “ชิมไปบ่นไป” ที่เป็นการกระทำขัดแย้งผลประโยชน์เหมือนกัน ซึ่งครั้งนั้นถือเป็น “ตุลาการภิวัฒน์” ผ่าทางตันการเมืองที่ไร้ทางออก คล้ายๆ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ใช่แค่ “คดีสมัคร ชิมไปบ่นไป” ยังมีกรณี นายกฯ นอมินีตระกลูชิน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ถูกรุกไล่จากม็อบ และประชาขน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ เช่นกัน จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ยุบพรรคพลังประชาชน ตอนนั้น “ตุลาการภิวัฒน์” ได้ช่วยให้สถานการณ์การเมืองกลับมาเป็นปกติ
ในสถานการณ์การเมืองเป็นไปแบบนี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกศาลวินิจฉัยวันที่ 2 ธ.ค.นี้ จึงกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันหนัก มีทั้งเชื่อว่า รอด และ ไม่รอด ซึ่งหาก “ไม่รอด” ก็จะเป็นอีกครั้งที่จะได้เห็น ตุลาการภิวัฒน์ แทนการรัฐประหาร และนี่ อาจเป็น “ทางลง” อย่างสวยงามของ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ได้ ใครจะไปรู้ เรื่องนี้ก็ดูกันไป
“ลุงตู่” ที่ย้ำมาตลอดว่าตัวเองว่า “ผิดอะไร” แต่อีกฝ่ายมองว่าเป็นตัวปัญหา สร้างวิกฤตให้ประเทศ หากนายกฯยังอยู่ วิกฤตก็จะมีอยู่ต่อไปอีก ไม่มีทางออก และไม่รู้จะจบกันอย่างไร
อดใจรอกันอีกไม่นาน 2 ธ.ค.นี้ ชี้ชะตา.
**ม็อบ 3 นิ้ว มาถึงจุดเผากันเองหลัง “ยุติแบบเหงาๆ”
ความเคลื่อนไหวของคณะราษฎร ที่เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) จัดนัดชุมนุมระดับ “เบิ้ม” ตามนิยามของคณะที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของผู้สนับสนุนติดตามว่าจะสามารถ “พลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน” กันได้โดยเร็ว
ฟังว่า ตลอดช่วงตั้งแต่เวลานัดหมาย ไปจนถึงช่วงพีก มีการผลักดันกระชับพื้นที่ ฉีดน้ำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ถือได้ว่า เป็นอีกวันที่บรรดาผู้ชุมนุมมาอย่างคึกคัก แต่ตอนจบ กลับไม่สวย แถมสร้างความผิดหวังให้ผู้ร่วมชุมนุม
ว่ากันว่า หลังจากแกนนำกลุ่มราษฎร ประกาศยุติชุมนุม เมื่อเวลา 21.00 น. ปรากฏว่า “เฮียบุ้ง” ปกรณ์ พรชีวางกูร นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เครือข่ายคนเสื้อแดง ท่อน้ำเลี้ยงม็อบและผู้สนับสนุนด้านสวัสดิการต่างๆ ภายในม็อบคอยแจกอาหาร อย่างเมื่อวานขนเอา กุ้งเผา ปลาหมึก หมูหัน มาแจกจ่ายจนถูกแซววาเป็น “ม็อบกุ้งเผา” โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ว่า “ถ้าจบแบบง่อยๆ ตนจะให้...แกนนำดังๆ เลยสัส และโพสต์อีกว่า ถ้าปอดแหกก็ไม่ควรเป็นการ์ด ถ้าขี้ขลาดก็ไม่ต้องเสือกนำ พร้อมกับแจกของลับให้แก่แกนนำม็อบ
“เฮียบุ้ง” ยังโพสต์ให้เห็นภาพอีกว่า “ยุติแบบเหงาๆ”
เรียกว่า ไม่ต้องมีคำบรรยายกันเลยทีเดียว สำหรับม็อบ 3 นิ้ว วันนี้
