xs
xsm
sm
md
lg

เย้ยฟ้า! “สุวินัย” ได้ยินพรายกระซิบ ม็อบ 8 พ.ย.ประชิดวัง? “เอกชัย” ไม่สำนึก คุยข่ม นปช. “นคร” ปลุกใกล้ชนะ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ม็อบราษฎร 63 กับการเคลื่อนพลกดดันรัฐบาล จากแฟ้ม
พิกัดเสี่ยง! “ดร.สุวินัย” ได้ยินพรายกระซิบ “3 นิ้ว” หวังฟื้นกระแส จัดแรงทะลุนรก เคลื่อนประชิดวัง พับ นก-เครื่องบิน ฎีกา “เอกชัย” ไม่สำนึก คุยข่ม “นปช.” เพราะ “ล้มเจ้า” จึงถูกปล่อย ด้าน “นคร” ปลุกม็อบอย่าลดเพดาน ใกล้ชนะแล้ว

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 พ.ย. 63) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ “ปลายทางของม็อบ Me Generation”

โดยระบุว่า “ตกลงว่าไม่ว่ายังไง ม็อบ Me Generation ม็อบนี้ก็จะดึงดันผลักดันข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” (ข้อเสนอลดพระราชอำนาจแบบตัดมือตัดเท้าทุกทาง=ล้มสถาบันในความเป็นจริง) ให้จงได้ใช่มั้ย? ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้

ภาพ ดร.สุวินัย ภรณวลัย จากแฟ้ม
เพราะที่ได้ทราบจากรายงานพรายกระซิบ สิ่งที่ม็อบเยาวชนปลดแอกวางแผนที่จะทำในวันพรุ่งนี้ คือ นัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในตอนบ่ายสี่โมง มีรถบรรทุกติดเครื่องกระจายเสียงเป็นเวทีเคลื่อนที่

จากนั้นจะพาผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปที่ลานพระราชวังดุสิตและพระราชวังสวนอัมพร เพื่อทำกิจกรรมให้ผู้ชุมนุมใช้กระดาษเขียนฎีกาถึงสถาบันฯ โดยพับเป็นนกหรือเครื่องบิน แล้วขว้างให้ร่อนเข้าไปในเขตพระราชฐาน เพื่อสื่อถึงสถาบันในเชิงสัญลักษณ์

มีความเป็นไปได้สูงมากว่า จะมีข้อความจาบจ้วงหยาบช้าปรากฏอยู่ในนก/เครื่องบินพับ ที่จะขว้างให้ร่อนเข้าไปในเขตพระราชฐาน เพราะมวลชนที่มาร่วมชุมนุมได้ถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังสถาบันมานานนับปีด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จและเรื่องเล่าต่างๆที่ลวงโลก

อย่างไรก็ดี นี่คือ ความพยายามล่าสุดที่จะดึงดันปลุกม็อบล้มสถาบันที่ฝ่อไปแล้วในความเป็นจริง ให้กลับมาจุดใหม่อีกครั้งเท่านั้น โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือความเป็นจริงใดๆ ทั้งสิ้น

สำหรับแกนนำหลักที่พยายามผลักดันม็อบ Me Generation นี้อีกในวันพรุ่งนี้ คงกู่ไม่กลับแล้วละ ชะตากรรมของพวกเขาคงไม่ต่างๆ จากพวกแกนนำรุ่นแรกที่มีคดีจ่อเพียบไม่ต่ำกว่า 80 คดี และก็โดนทางอเมริกาเทไปแล้ว

แต่มวลชนที่เป็นเยาวชนที่คิดจะไปร่วมกับม็อบนี้ในวันพรุ่งนี้ต่างหากที่ควรคิดให้ดีนะ... นี่มิใช่สถานการณ์เหมือนเดือนที่แล้วที่พวกคุณกำลังฮึกเหิมสุดๆ แบบ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” อีกต่อไปแล้วนะ

....ผ่านเวลามาขนาดนี้ พวกคุณน่าจะเบิกเนตรได้แล้ว เหมือนพรรคพวกของคุณจำนวนมากที่ได้คิดและถอนตัวจากม็อบนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้

ถ้ายังคิดไม่ได้ ก็อย่าโทษใครเลย ถ้าชีวิตต้องเจออะไรๆ หลังจากนี้”

ภาพ นายเอกชัย หงส์กังวาน จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวการเมือง ผู้ต้องหา มาตรา 110 ประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ซึ่งเพิ่งได้รับการปล่อยตัวหลังศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอฝากขังของตำรวจเมื่อ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

“ช่วงที่ผมอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผมพบอดีตแกนนำ นปช. คนหนึ่งซึ่งอยู่ในสถานที่นี้จากข้อหาทางการเมือง

เขาบอกผม บอกให้ม็อบเรียกร้องเฉพาะ 2 ประเด็น คือ การเรียกร้องให้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่าแตะต้องสถาบันกษัตริย์ แล้วจะชนะ

ตอนนั้น ผมนึกในใจ มึงคิดแบบนี้ไง มึงถึงต้องมาอยู่ในนี้ ขณะที่ข้อหาของผมร้ายแรงกว่า ม.112 หลายเท่า เขาไม่เชื่อผมจะได้ออก

ต่อมาม็อบเคลื่อนไหวแทบจะรายวันบนถนนสำคัญทางเศรษฐกิจในกรุงเทพฯหลายแห่ง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาจากการชุมนุม ถึงขั้นยื่นหนังสือถึงสถานทูตเยอรมัน สุดท้ายกลายเป็นผมได้ออกมาก่อนเขา

การที่ผมได้ออกจากเรือนจำอย่างเหลือเชื่อมาจากการต่อสู้ของม็อบ ไม่ใช่การกราบ”

ด้าน นายนคร มาฉิม สมาชิกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “อย่าหลงกลเกมเผด็จการทรราช”

เนื้อหาระบุว่า ขอให้ดำรงเป้าหมายทั้ง 3 ให้มั่นคง พวกเราจะชนะในไม่ช้า

ประวัติศาสตร์การเข่นฆ่าประชาชนอันป่าเถื่อน โหดร้าย เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของเผด็จการ ทำให้เราเชื่อและต้องตระหนักเสมอว่า

1. ฝ่ายเผด็จการทรราช จะไม่ยอมให้พลเอก ประยุทธ์ ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ง่ายๆ แน่นอน เพราะพลเอก ประยุทธ์ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของจอมเผด็จการ ของเหล่าเผด็จการทรราช และลิ่วล้อบริวาร ได้ดีในทุกด้าน พร้อมทั้งทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ให้อ่อนแอลงได้มากที่สุด

2. ฝ่ายเผด็จการทรราช จะไม่ยอมให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คสช. ปี 60 ที่พวกเขาได้เปรียบในหลักการใหญ่ ในเชิงโครงสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อเผด็จการ มาเป็นประชาธิปไตยอย่างแน่นอน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คสช. ปี 60 คือหัวใจของระบอบเผด็จการ ที่จะสืบทอดอำนาจของระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ และใช้เป็นเครื่องมือปกครองประเทศตลอดไป

3. พวกเขาจะไม่ยอมให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เด็ดขาด เพราะพวกเขาเหล่าเผด็จการทรราช และ เครือข่ายจะใช้สถาบันกษัตริย์ไว้เป็นข้ออ้าง ให้พวกเขาได้ประโยชน์ตลอดไป และจะใช้เครือข่ายข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น บางส่วนรวมถึง อสม. จิตอาสา ระดมใส่เสื้อเหลือง มาเป็นพลังต่อต้านการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ทั้งที่การปฏิรูปคือการทำให้ดีขึ้น มิใช่การล้มล้างทำลาย แต่สถาบันกษัตริย์จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ

ภาพ นายนคร มาฉิม คนที่เคยออกมาเผยว่า “ทักษิณ” อยากให้ประชาชนพากลับบ้าน ขอบคุณภาพจากไทยโพสต์
พวกเผด็จการ จึงให้องคาพยพและเครือข่ายของระบอบเผด็จการ แสร้งทำเป็นยอม

1. จะยอมให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คสช. ปี 60 ผ่านกลไกรัฐสภา ทั้งที่พวกเขาไม่มีความจริงใจที่จะแก้ไข และพยายามใช้เวทีสภาเพื่อซื้อเวลาให้นานที่สุด จนหมดวาระ และทอดยาวต่อไป ไม่น้อยกว่า 20 ปีตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ

2. จัดให้มีคณะกรรมการสมานฉันท์ ผ่าน นายชวน หลีกภัย โดยมีการทาบทามอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอานันท์ ปันยารชุน พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน มีแนวคิด ความเชื่อแบบเดียวกัน รวมถึงตัวนายชวน หลีกภัย ด้วย ที่ได้เป็นประธานรัฐสภา ก็เพราะพรรคการเมืองฝ่ายเผด็จการสนับสนุน และพยายามเชิญ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาร่วมเพื่อจะได้นำมาอ้างว่า มีทุกฝ่าย เข้าร่วม แต่ยังไม่มีการตอบรับจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

3. ใช้องคาพยพของเผด็จการทรราช ทั้งตำรวจ ทหาร และกระบวนการยุติธรรม รวมถึงลิ่วล้อบริวารของเผด็จการทรราช ทำลายมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยทุกรูปแบบ ใช้วิธีการข่มขู่ คุกคาม จับกุม คุมขัง แจ้งข้อกล่าวหาสารพัด ขังๆ ปล่อยๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อให้แกนนำมวลชนหมดแรง อ่อนล้า เช่นขณะนี้ ยอมปล่อยตัวแกนนำ แต่คดีและหมายเรียก หมายจับยังมีอีกเกือบร้อยหมาย ร้อยคดี พวกเขาสามารถหยิบเอามาใช้ เพื่อต่อรองได้ทุกเมื่อ

4. พวกเขาระดมมวลชนฝ่ายเผด็จการ จากทุกหน่วยทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนที่ยังนิยมชมชอบระบอบเผด็จการ เป็นมวลชนจัดตั้ง ใส่เสื้อเหลืองอ้างว่ามาปกป้องสถาบันกษัตริย์ และอ้างว่า มีจำนวนมากกว่ามวลชนฝ่ายประชาธิปไตย โดยใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นพลังในการขับเคลื่อน เพื่อให้คนสับสน และเห็นว่า มวลชนฝ่ายเผด็จการมีมากกว่า อยู่ไปแบบนี้แหละ ไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย

5. ให้มหาเถรสมาคม องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ออกคำสั่งให้พระภิกษุที่เทศนาให้ประชาชนเกิดความรักชาติ ศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้คนส่วนใหญ่มองข้ามปัญหา คงสภาพเดิมไว้ ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้ดีขึ้น ให้คนไทยมองว่าการชุมนุมของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยคือการทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย และล้มล้างสถาบันกษัตริย์

6. ให้หน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวง DE กองทัพ กอ.รมน. หน่วยสงครามจิตวิทยาใช้การปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ยุยงปลุกปั่นให้ร้าย เพื่อทำลายความชอบธรรมของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง แย่งชิงมวลชนให้หลงเชื่อเพื่อลดแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย

7. พวกเขาพยายามใช้สื่อเครือข่ายเผด็จการ และสื่อที่ต้องการเพียงเรตติ้ง จัดเวทีดีเบต ระหว่างแกนนำมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย กับ ตัวแทนฝ่ายเผด็จการเพื่อให้แกนนำมวลชนแสดงจุดยืน และเป้าหมายปลายทางของการชุมนุม เมื่อพวกเขาได้ฟัง ได้ทราบเป้าหมาย ยุทธวิธี ของฝ่ายเรา พวกเขาก็จะนำไปประยุกต์และโต้กลับได้อย่างละเอียด ครอบคลุมทุกประเด็น

ซึ่งหากมวลชนยอมรับข้อเสนอ หรือ ลดเพดานข้อเรียกร้อง ทั้ง 3 ข้อลง ก็เท่ากับพวกเราหลงกลเกมของฝ่ายเผด็จการ พวกเราจะพ่ายแพ้และถูกไล่ล่า อย่างไร้ความปรานีจากจอมเผด็จการที่โหดเหี้ยม

เชื่อมั่นและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยทุกท่าน จะไม่หลงกลเกมอันแนบเนียน แยบยลละเอียดอ่อนของฝ่ายเผด็จการทรราช และดำรงเป้าหมาย 3 ข้อเรียกร้องคือ

1. ให้พลเอก ประยุทธ์ ลาออก
2. ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นของประชาชน
3. ให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
อีกไม่นานชัยชนะจะเป็นของพวกเราฝ่ายประชาธิปไตย

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การชุมนุมใหญ่ของ “ม็อบ 3 นิ้ว” ในวันที่ 8 พ.ย.นี้นั่นเอง เพราะถ้าพรายกระซิบของ ดร.สุวินัย เป็นจริง จะถือว่าเป็นการก้าวล่วง จนอาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เลยทีเดียว

ยิ่งถ้าพวกเขาทำสำเร็จ ก็จะเป็นอีกก้าวของความฮึกเหิม และหลังจากนี้ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว และคงคิดการใหญ่ได้คืบเอาศอกต่อไปเรื่อยๆ ส่วนการเอาผิดตามกฎหมาย ถ้ายังคงทำได้แค่จับๆ ปล่อยๆ ก็ยิ่งจะถูกดูหมิ่นดูแคลนว่า ทำอะไรพวกเขาไม่ได้เข้าไปใหญ่ มวลชนก็จะยิ่งเหิมห้าวจนยากหยุดยั้ง

ขณะเดียวกัน ภาวการณ์เช่นนี้เสี่ยงอย่างมากที่จะมีฝ่ายจงรักภักดี ออกมาปกป้องสถาบันฯ ทุกรูปแบบ และหมดความอดทนอดกลั้น ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อ ฝ่ายรัฐบาลอยู่ดี เพราะจะถูกนำมาป้ายสีทันทีว่า ปลุกม็อบชนม็อบ หรือ ปล่อยคนของฝ่ายรัฐบาล ใช้ความรุนแรงกับม็อบ และถ้าเลวร้าย อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวขึ้นได้

เหนืออื่นใด ที่ต้องไม่ลืมก็คือ การที่ม็อบเดินหน้าท้าทายได้มาถึงวันนี้ พวกเขาถือว่าเป็นชัยชนะเกินคาดหวังแล้ว เหลือก็แต่ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเห็นว่า อยู่แค่เอื้อม และคนที่อยู่ “เบื้องหลัง” อีแอบทั้งหลาย ก็จะปลุกเร้าเรื่องนี้จนกลายเป็นพลังแฝง ที่กล้าหาญ และบ้าบิ่น ในการชุมนุมทุกครั้ง และถ้าขืนปล่อยไปอย่างนี้ ต่อให้ไม่ชนะ แต่บ้านเมืองก็คงบอบช้ำ สังคมไทยแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ นี่คือ สิ่งที่น่ากลัว และน่าเศร้าใจที่สุดในเวลานี้

สุดท้าย คำพูดที่ว่า การเมือง “อำมหิต” ก็จะเป็นจริง ต่อให้ไม่ต้องรบราฆ่าฟัน แต่มันก็ได้ฆ่าคนไทยในทุกทางโดยปริยายอยู่แล้ว ไม่เชื่อก็ลองหันดูรอบข้างเอาเองก็ได้ ว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือว่า ไม่เห็น ไม่สนใจอะไรเลย จะ “ปฏิรูปสถาบัน” ให้ได้อย่างเดียว???


กำลังโหลดความคิดเห็น