“ธนาธร” ซัด “ประยุทธ์” ปัดความรับผิดชอบ ประชุมสภาวิสามัญไร้ประโยชน์ ไม่เชื่อยอมถอยคนละก้าว เตรียมยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง แค่เปลี่ยนวิธีจัดการม็อบ ด้วยการปลุกความเกลียดชัง ให้ประชาชนปะทะกันเอง ท้าลาออกพรุ่งนี้เลย ถ้าอยากพิสูจน์ความจริงใจ
วันนี้ (21 ต.ค. 2563) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...
การแถลงของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันนี้ไม่มีความจริงใจ ปัดความรับผิดชอบในฐานะนายกฯ และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
1. ข้อเสนอของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้แก้ไขปัญหาในสภา เป็นข้อเสนอเพื่อปัดความรับผิดชอบ และจะไม่เกิดขึ้นจริง
ประยุทธ์เรียกร้องให้แก้ไขปัญหาโดยผ่านกลไกรัฐสภา แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้บอกเลยว่า รัฐบาลมีท่าทีอย่างไรกับข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ของนักเรียน นักศึกษา ประชาชน
ผมกล้ายืนยันว่า การประชุมสภาวิสามัญที่จะเกิดขึ้นนั้น คือ การซื้อเวลา จะไม่มีดอกผล หรือข้อสรุปอะไรที่เป็นแนวทางการหาทางออกร่วมกันของสังคม
ในทางกลับกัน การประชุมที่จะเกิดขึ้นจะเป็นเวทีที่ฝ่ายรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาใช้ในการกล่าวหานักเรียน นักศึกษา และประชาชนว่า “ล้มเจ้า” ต่างหาก
ประยุทธ์อ้างสภาเพื่อลอยตัวออกจากปัญหา ปัดความรับผิดชอบในฐานะนายกรัฐมนตรีมาหลายครั้งแล้ว ทั้งที่ประยุทธ์มีโอกาสใช้สภาในการแก้ไขปัญหามาหลายครั้งจริงๆ แต่ไม่เคยใช้โอกาสเหล่านั้นในการแก้ไขเลย
การตั้งกรรมาธิการศึกษาแนวทางการแก้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ไม่ก่อให้เกิดอะไร การตั้งกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา กรกฎาคม 2563 เมื่ออภิปรายในสภาแล้ว ก็ไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นเช่นกัน
เมื่อวาระในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภา แทนที่ทั้ง ส.ส. รัฐบาล และ ส.ว. จะโหวตรับหลักการในวาระหนึ่ง ก็กลับการตั้งกรรมาธิการศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญร่วมก่อนรับหลักการในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันที่ราดกองไฟ ก่อให้เกิดการชุมนุมใหญ่โตของประชาชนในรอบนี้
2. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้กำลังถอย แต่กำลังเปลี่ยนแนวทางในการจัดการกับคณะราษฎร 2563
ประยุทธ์แถลงว่า ให้ถอยคนละก้าว รัฐบาลจะถอยโดยการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง
สำหรับผม นี่ไม่ใช่การถอย แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการจัดการกับประชาชน
จากแนวทางการจับกุมคุมขัง ดำเนินคดีกรณีขบวนเสด็จกับผู้ชุมนุม และใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุม จนถึงการใช้กลไกในการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน เข้ามาทดแทนการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะ
พวกเขากำลังปลุกให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง ให้ความขัดแย้งร้าวลึกยิ่งขึ้น จนประชาชนปะทะกันเองแทนเจ้าหน้าที่รัฐ
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ในหลายจังหวัด เราเห็นการเกณฑ์มวลชนผ่านเครือข่ายข้าราชการ, ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล, นักการเมืองท้องถิ่น, นายอำเภอ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, ครู และ อสม. เพื่อแสดงความจงรักภักดี ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเราเห็นการระดมรณรงค์สื่อสารข้อความดังกล่าวอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์
หน้าที่ของรัฐคือ การปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้คนที่มีความแตกต่างอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติในสังคม
วันนี้ รัฐไทยกำลังทำในสิ่งตรงกันข้าม พวกเขากำลังโหมกระพือไฟแห่งความเกลียดชังให้ลุกลามในสังคมด้วยข้อหาล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ปลุกระดมประชาชนเกินจริง ทำให้ประชาชนทั่วไปเชื่อว่า นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยและการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการล้มล้างสถาบัน
เพื่อรักษาอำนาจของตนเอง รัฐบาลและชนชั้นนำจึงยัดเยียดข้อกล่าวหาเกินจริงเช่นนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เดียว คือ การทำให้ประชาชนใช้ความรุนแรงต่อกันจนบานปลาย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปราม หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเข่นฆ่าประชาชน
3. ประยุทธ์ไม่กล้ายอมรับความจริงเรื่องข้อเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
ในการแถลงมีคำพูดที่มีนัยยะแฝงแสดงถึงการไม่ยอมรับและละเลยข้อเสนอเรี่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ซึ่งผมยืนยันในที่นี้อีกครั้งว่าการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ไม่เท่ากับการล้มล้างแน่นอน
แต่ในเมื่อประยุทธ์ไม่มีแม้แต่ท่าทีที่จะยอมรับ “การดำรงอยู่ของข้อเรียกร้อง” ของผู้ชุมนุม แล้วจะเริ่มถอยกันได้อย่างไร
เมื่อไม่มีแม้แต่เจตจำนงในการหาทางออกร่วมกัน ดังนั้น การถอยคนละก้าวที่ประยุทธ์พูดถึง จึงไม่ใช่การถอยแน่ๆ
ถ้าอยากพิสูจน์ความจริงใจเรี่องการถอย พรุ่งนี้ออกจากตำแหน่งเลยครับ