xs
xsm
sm
md
lg

“ปฏิรูปสถาบันฯ”! “อานนท์” ขู่ “เทม็อบ” โทษ ตร.จงใจจัดเสด็จฯผ่าน “ทอน” โดน ม.111, 112? “จตุพร” ห่วง “ล้มเจ้า”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ แกนนำ คณะราษฎร แถลงถึงกาชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จากแฟ้ม
“อานนท์” หลุดปาก “ม็อบ 14 ตุลา” หลักใหญ่ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” โทษ ตร. จงใจจัดเส้นทางเสด็จฯผ่าน รับผิดชอบเอง “ทอน” โดนจนได้ ม.111, 112? “ตู่-จตุพร” ย้อนรอย 14 ตุลา-6 ตุลา ส่งสัญญาณอันตราย “กลุ่มปลดแอก”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (9 ต.ค. 63) นายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบปลดแอก โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า จริงๆ เรื่องขบวนเสด็จฯที่ตำรวจจงใจจัดให้ตรงกับการชุมนุมขนาดใหญ่ ทั้งที่รู้ว่า ประเด็นหลักใหญ่ใจความของการชุมนุม คือ การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ต้องถือว่า เป็นการหาเรื่องผู้ชุมนุม คือ พยายามป้ายสี และสร้างสถานการณ์ความขัดแย้งให้บานปลาย

รู้ทั้งรู้ว่า คนรุ่นใหม่เขาเคยแสดงออกว่า ไม่เห็นด้วยกับขบวนเสด็จฯจนติดเทรนทวิตเตอร์มาแล้ว รู้ทั้งรู้ว่า ถ้ามีขบวนเสด็จฯผ่านที่ชุมนุม มันจะเกิดความวุ่นวายขนาดไหน ยังดึงดันที่จะจัดขบวนเสด็จฯผ่านที่ชุมนุมให้ได้

ถ้าเกิดความวุ่นวายขึ้น ต้องถือว่า ตำรวจจงใจให้เกิดขึ้นเอง จะมาโทษผู้ชุมนุมไม่ได้เลย”

นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่ง นายอานนท์ ยังโพสต์เฟซบุ๊กว่า “ตามฟอร์ม ตำรวจมาขอให้ศาลอาญาออกหมายจับผมกับน้องๆนักศึกษา เพื่อจับไม่ให้ไปชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม ที่จะถึงนี้

ก็ดี ให้มันพังไปพร้อมๆ กัน แล้วสร้างขึ้นมาให้ให้มั่นคงแข็งแรงกว่าเดิม”

ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากแฟ้ม
น่าสนใจไม่แพ้กัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายสนธิญา สวัสดี อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจ้งความต่อ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ให้พิจารณาดำเนินคดีกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โดยมี พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ รอง ผกก.สส.2 บก.สส. บช.น. เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือร้องเรียนดังกล่าว

นายสนธิญา กล่าวว่า นายธนาธร มีส่วนสนับสนุนในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.111 และพิจารณาว่าเข้าข่ายผิด ม.112 ด้วยหรือไม่ เนื่องจากพบว่า การชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต มีการปราศรัยเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งส่วนตัวมองว่า เนื้อหาการปราศรัยมีลักษณะจาบจ้วงสถาบันฯ และไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย

นายสนธิญา กล่าวว่า จากการติดตามข้อมูล พบว่า นายธนาธร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลายครั้งในลักษณะสนับสนุนให้มีการชุมนุมและปฏิรูปสถาบันฯ รวมทั้ง นายธนาธร ยังเข้าร่วมการชุมนุมที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 19 ก.ย.อีกด้วย ดังนั้น จึงต้องการให้พนักงานสอบสวน บช.น. รวบรวมเรื่องนี้ไว้ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอน เนื่องจากก่อนหน้านี้ เคยยื่นพยานหลักฐานแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ในพื้นที่ บช.น. หลายคดีแล้วเช่นกัน

วันนี้เช่นกัน ด้าน “ตู่-จตุพร” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk วานนี้ว่า

เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ความตายเกิดขึ้น เพราะมีคนไม่ต้องการให้การชุมนุมยุติ โดยระหว่างทางเลิกชุมนุมกลับบ้าน เกิดการปะทะกันขึ้น จนนำไปสู่การฆ่ากัน แล้วทำให้ผู้มีอำนาจขณะนั้นสูญเสียความชอบธรรมไป

ส่วน 6 ตุลา 19 มีการแยกสลายขบวนการนักศึกษารุ่น 14 ตุลาออกไป แต่สิ่งสำคัญคือ ความต่อเนื่องกับการเก็บเกี่ยวชัยชนะโดยไม่คิดถึงอีกฝ่ายหนึ่งได้เตรียมการอะไรไว้ และมีความอำมหิตอย่างไร กระทั่งเมื่อคนพวกนั้นลงมือ จึงเกิดปรากฏการณ์ล้อมฆ่า อย่างไร้ปรานีต่อคน 6 ตุลา 19

“ความรู้สึกของคน 6 ตุลานั้น มีความเจ็บปวด เจ็บแค้นจากการถูกกระทำอย่างเหี้ยมโหด แม้มีคนตายน้อยกว่า 14 ตุลา แต่สองเหตุการณ์นี้ เรียกได้ว่า เป็นหนังคนละม้วน แตกต่างกันไป โดย 14 ตุลา การชุมนุมเรียกร้องเสรีภาพ ประชาธิปไตย อีกทั้งการจัดรูปขบวนเป็นดังแสดงถึงความจงรักภักดี แต่ขบวน 6 ตุลา กลับถูกป้ายสีด้วยการแต่งภาพแขวนคอ แล้วกล่าวหาผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มคนจ้องล้มสถาบัน” นายจตุพร กล่าวและว่า “ผมนำเรื่องนี้มากล่าวถึง เพราะการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลา 2563 นั้น ผมยังถามอยู่เสมอว่า ต้องการอะไร ต้องการไล่รัฐบาล ต้องการ รธน. หรือต้องการนอกเหนือจากนี้ไป แต่เนื้อหาจะเป็นตัวอธิบายว่า การชุมนุมต้องการอะไร”

ภาพ ตู่- จตุพร พรหมพันธุ์ จากแฟ้ม
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ชุมนุมโดยพุ่งเป้าไปที่ 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปนั้น แปลความถึงไม่ได้ไล่รัฐบาล ไม่ต้องการ รธน. จึงเท่ากับไปสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลได้อยู่ต่อไป ดังนั้น จึงถามเสมอว่า เพื่ออะไร เพราะประชาชนมาร่วมการต่อสู้ต้องรู้เป้าหมายการชุมนุม ถ้าจุดมุ่งหมายต้องการไล่รัฐบาล แต่เนื้อหาบนเวทีเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งแล้ว จึงเป็นสิ่งที่น่าห่วงใย

อีกอย่าง การรักษาแนวร่วม มีความจำเป็นในการต่อสู้ และการชุมนุมแต่ละเหตุการณ์ในอดีตก็มีแนวร่วมที่แตกต่างกันไป ดังนั้น เมื่อประชาชนต้องการมาร่วมชุมนุมจำนวนมากแล้ว ย่อมต้องการจะรู้เช่นกันว่า ปลายทางคืออะไร และเส้นทางหลังจากนั้นคืออะไร

“ผมไม่ได้เปลี่ยนไป แต่คนอื่นเปลี่ยน แล้วมาชี้หน้าผมว่าเปลี่ยนไป ทั้งที่ตลอดชีวิตก็เป็นแบบนี้ จุดยืนผมยังเหมือนเดิม เมื่อคนอื่นเปลี่ยนแล้ว ผมมีความจำเป็นอะไรต้องไปเห็นด้วยกับเขา เพราะมันเป็นเสรีภาพของผม และผมเชื่อของผมแบบนี้ จึงดำรงความเชื่อเช่นนี้”

นายจตุพร ย้ำว่า การออกมาสำแดงพลังของประชาชนนั้น ต้องมีเป้าหมาย และไม่ควรมีใครมาตายใน พ.ศ.นี้อีก เพราะไม่รู้ว่าขบวนการสร้างสถานการณ์จะมาสำแดงอะไรกับผู้ชุมนุม คงเป็นด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้ คณะญาติวีรชน 2535 จึงยื่นเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ และ ภูมิใจไทย ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพื่อยุติปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติวิธี แล้วนักการเมืองจะมีความสำนึกหรือไม่เท่านั้น

“ถ้าสองพรรคถอย จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยาย ก็ไม่มีความสูญเสียขึ้น เมื่อญาติวีรชน 2535 หาช่องทางลงอย่างดีที่สุด เป็นช่องทางลงที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อใดๆ ผมจึงเห็นว่า น่าเป็นช่องทางหนึ่ง เพียงแต่พรรคการเมืองจะมีความกล้าหรือไม่ เพราะอำนาจคือยาเสพติดร้ายแรง เมื่อเสพติดแล้วจึงเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งที่สัจธรรมไม่มีใครรักษาอำนาจไว้ได้แม้เพียงรายเดียว”

พร้อมกล่าวว่า พรรคการเมืองควรร่วมกันเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัยเพื่อถอดสลัก รธน. ซึ่งจะเป็นทางออกหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาชาติที่วิกฤต

“ดังนั้น การชุมนุม 14 ตุลานี้ ผมจึงไม่ต้องการให้เป็นหลักคิดแบบ 14 ตุลา แต่มีเรื่องราวเหมือน 6 ตุลา ซึ่งเป็นความน่ากังวลมากที่สุด เพราะจะกลายเป็นหนังคนละม้วน จึงได้แต่หวังว่า จะลงท้ายด้วยสันติวิธี” (ข่าวจากไทยโพสต์)

แน่นอน, นับวันเริ่มชัดขึ้น ว่า การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก และไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อไปตามการชุมนุมแต่ละครั้ง จนถูกแซะว่า “ม็อบร้อยชื่อ” เป้าหมายที่แท้จริง ก็คือ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ว่าจะมีข้อเรียกร้องไม้ประดับอีกก็ตาม แต่ที่วาดฝันเอาไว้ ก็คือ ปฏิรูปสถาบันฯ รวมทั้ง สโลแกนที่ว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา” ก็น่าจะเป็นเรื่องนี้เช่นกัน?

ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ “ตู่-จตุพร” ชี้ให้เห็น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 นี้หรือไม่ อาจไม่สำคัญเท่ากับ ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ที่จะต้องเกิดขึ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ตราบใดที่ ม็อบยังมี “ไฟต์บังคับ” ที่จะต้อง “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” ให้ได้

ถามว่า เรื่องนี้กลุ่มผู้ชุมนุมรู้หรือไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้น คำตอบก็คือ กลุ่มผู้อยู่เบื้องหลัง และแกนนำบางคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจดี เพียงแต่พวกเขามีทางเลือก หาทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว โดยเฉพาะการลี้ภัยในต่างประเทศ

เหลือก็แต่ “มวลชน” ที่ตกเป็น “เหยื่อ” ลูกหลานประชาชนเท่านั้น ที่จะต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรง ในฐานะ “วีรชน” ผู้ที่จะต้องเสียสละ ซึ่งผู้มีประสบการณ์หลายคน ต่างกล้ำกลืนที่จะบอกว่า “หยุดสร้างวีรชนเสียที” นั่นหมายถึงว่า พวกเขาไม่ต้องการให้ใครสละชีวิตอีกแล้ว แล้วยังจะมีใครอำมหิตผิดมนุษย์อยู่อีก ก็อยากจะเห็นหน้าอยู่เหมือนกัน!


กำลังโหลดความคิดเห็น