เมืองไทย 360 องศา
ระหว่างรอการถกเถียงเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ระหว่างการประชุมสภาสมัยวิสามัญ ในช่วงวันที่ 26-27 ตุลาคม ด้วยสายตาแบบเหม่อลอย เนื่องจากไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพราะเท่าที่เห็นมาสองวัน ล้วนเป็นการกล่าวหากันไปมา ต่างฝ่ายต่างหาประโยชน์เข้าตัว แต่ก็มีแนวโน้มให้เห็นว่า ในที่สุดแล้วก็จะลงเอยกันด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ การลงประชามติ ส่วนเรื่องไหนจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง ก็คงใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็คงยังต้องพูดถึง และจับตา “ม็อบสามนิ้ว” กันอย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากยิ่งนานก็ยิ่งมองเห็น “เรื่องแปลกๆ” ออกมาให้เห็นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับข้อสงสัยที่อ้างว่า “ทุกคนเป็นแกนนำ” โดยที่ไม่มีใครคอยชักใยนั้น มีอยู่จริงหรือไม่
หรือว่าเป็นเพียงแค่ “แท็กติก” เพื่อไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย หลังจากมีแกนนำหลายคนถูกจับกุมดำเนินคดี และยังไม่ได้รับการปล่อยตัวออกมา เนื่องจากมีอัตราโทษสูง อีกทั้งยังเกรงว่าจะออกมากระทำผิดซ้ำ และสร้างความปั่นป่วนเพิ่มขึ้นมาอีก
แม้ว่าจะบอกว่า “ทุกคนคือแกนนำ” แต่การเคลื่อนไหวทุกครั้งผ่านทางโซเชียลฯ ก็มองออกได้ไม่ยากว่า “มีคนออกแบบ” และ “คอยชี้นำ” คอยกำกับบทอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเชื่อว่า สำหรับคอการเมืองรับรู้กันอยู่แล้วว่า เป็นใคร และพรรคการเมืองไหนที่อยู่เบื้องหลัง รวมทั้งเมื่อพิจารณาจากบทบาททั้งในและนอกสภาที่ออกมาในลักษณะที่เรียกว่า “คู่ขนาน” กันไป
และแม้ว่า ณ เวลานี้ความร้อนแรงของการชุมนุมของกลุ่มสารพัดชื่อ แต่ก็ยังเน้นหนักในชื่อ “คณะราษฎร” จะเริ่มลดดีกรีลงมาเรื่อยๆ แม้ว่าจำนวนมวลชนจะยังหนาตาอยู่ แต่เมื่อถูกเบรกจากฝ่ายที่มีความเห็นตรงกันข้ามที่มีจำนวนมาก ก็ย่อมทำให้ความฮึกเหิมต้องลดทอนลงไป และที่สำคัญ ยังได้เห็น “พลังของคนรุ่นเก่า” ที่ยังต้องมีอยู่ในสังคมนี้อีกนาน เพราะหากบอกว่าคนที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เป็น “รุ่นใหญ่” หรือรุ่นเก่า ก็ตามที แต่คนพวกนี้ก็มีความรู้ มีประสบการณ์ แทบทั้งหมดก็จบปริญญาตรี ปริญญาโท ที่สำคัญ ที่บอกว่า “ภาษีกู” นั้น ใครกันแน่ หรือรุ่นไหนกันแน่ที่เสียภาษีเลี้ยงสังคมอยู่ในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่คนรุ่นนี้ ซึ่งต้องอยู่ในสังคมอีกหลายสิบปี
ขณะเดียวกัน อย่างที่บอกว่าพลังความร้อนแรงของ “ม็อบสามนิ้ว” ที่เริ่มลดลง ส่วนสำคัญก็เป็นเพราะ “เล่นใหญ่เกินตัว” และถูกมองออกว่า “อยู่ภายใต้การชักใย” เมื่อเลี้ยวไปสู่ข้อเรียกร้องให้ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” ก็เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากอีกฝ่ายทันที และมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แรงกดดันที่เคยไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ลดลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
ประกอบกับการแก้เกมที่ให้กลับเข้าสู่การแก้ปัญหาในสภาดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนก็ตาม แต่ถือว่าทุกอย่างกลับสู่การควบคุมของฝ่ายเสียงข้างมากตามกลไกอีกรอบแล้ว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าแปลกใจระหว่างที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของ “กลุ่มปลดแอก” หรือ “คณะราษฎร” ที่ว่านั่น ก็คือ ข้อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แม้ว่าในความเป็นจริงยังต้องถกเถียงกันอีกว่า จะเป็นไปได้แค่ไหน แต่ที่ต้องจับตาก็คือ มีแกนนำผู้ชุมนุมประกาศว่าใครก็ได้ที่มีรายชื่อ แต่ไม่เอา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แม้ว่าจะเอ่ยถึงคนอื่นที่ไม่สนับสนุน เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งคู่ถูกตัดสิทธิ์การเมืองจากการถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นเวลา 10 ปี
ที่น่าแปลกใจก็คือ การขัดขวาง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทั้งที่มีรายชื่อเป็นแคนดิเดต ของพรรคเพื่อไทย ที่ถือว่าเป็นแนวร่วมการชุมนุมก็ไม่ผิด แต่หากบอกว่าเป็นการ “ผิดคิว” ของแกนนำ ก็ไม่น่าจะใช่
อย่างไรก็ดี เมื่อปะติดปะต่อเหตุการณ์แล้วย้อนกลับไปดูคำพูดเก่าๆ โดยเฉพาะคำพูดของ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เคยตั้งโต๊ะแถลงข่าวก่อนหน้านี้ ระหว่างที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก โดยคราวนั้นเขาพูดถึงเฉพาะชื่อของ “นายชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตของพรรคในลำดับที่สาม เพียงคนเดียวเท่านั้น โดยละเลยไม่พูดถึง คุณหญิงสุดารัตน์ แต่อย่างใด จนสร้างความแปลกใจมาครั้งหนึ่งแล้ว
ดังนั้น หากปะติดปะต่อเรื่องราว ทำให้มองเห็นภาพว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเดินเกมเพื่อกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก อย่างเดียว โดยคัดค้านการยุบสภา และหากเป็นไปตาม “ความฝัน” ก็จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งจะเป็นแก้ไขรายมาตราที่เสนอรอเข้าไปแล้ว หรือจะเป็นแบบแก้ไขให้ตั้ง ส.ส.ร.ซึ่งรวมอยู่ใน 6 ฉบับ
แม้ว่างานนี้ในที่สุดแล้ว เป็นเกมที่พรรคเพื่อไทยน่าจะแฮปปี้ที่สุด เพราะถึงอย่างไรแล้วพวกเขามีแต่กำไร เนื่องจากเป้าหมายหลัก ก็คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะเดินหน้า ส่วนคนที่ชีช้ำ ก็คือ “เจ๊หน่อย” ที่ใครๆ ก็ไม่รัก และถูกเท นั่นเอง !!