ข่าวปนคน คนปนข่าว
** จาก “ลิซ่า แบล็กพิงค์”-“ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์” มาถึงพระเอกรุ่นใหญ่ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ลาออกจากร่วมกตัญญู ฤทธิ์ทัวร์ทำเกินเลยไร้สติ
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความนับถือต่อการตัดสินใจของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ที่แสดงตัวตนอย่างเด็ดเดี่ยว ชัดเจน และสปิริตลาออกจากมูลนิธิร่วมกตัญญูที่ผูกพันทำงานด้านการกุศล “อาสากู้ภัย” กับมูลนิธิ มาหลายสิบปี จนน่าจะกลายเป็น “ตำนาน” ของดาราผู้มีชื่อเสียงที่อุทิศตัวทำเพื่อสังคมเข้าร่วมกับมูลนิธิชื่อดัง
ในสองประเด็นนี้ของ “บิณฑ์” ถูกชาวโซเชียลฯ พูดถึงอย่างมากท่ามกลางกระแสของเหล่าคนดังที่โดนคุกคามตามราวี จัด “ทัวร์ลง” ทั้งที่คนไม่แสดงจุดยืน อย่างเช่น “ลิซ่า แบล็กพิงค์” หรือเพิ่งแสดงจุดยืนเมื่อวันก่อนอย่าง มิสยูนิเวิร์ส “ปุ๋ย” ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก
ใครที่ได้ดูจากที่ “บิณฑ์” ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กก็จะเห็นว่า พระเอกรุ่นใหญ่ทำใจยากลำบากต่อปมเหตุในการขอลาออกด้วยการร่ำไห้ น้ำตาคลอ เพื่อไม่อยากให้มูลนิธิฯ ต้องถูกทัวร์ลง
เขาเล่าถึงก่อนจะตัดสินใจลาออก มีเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังออกสื่อทีวี แสดงจุดยืนเรื่องสถาบันฯ แต่กลับได้รับการขอร้องจาก “ผู้ใหญ่” ในมูลนิธิฯ ต่อสายมา ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นขณะนี้ในสังคม ในขณะที่บางคำพูด ที่พูดถึงคนจาบจ้วงสถาบันฯ เช่น “จะไปตบเด็กชู 3 นิ้ว” ถูกคณะทัวร์บิดเบือนต่อว่ารุนแรงจนลามไปมูลนิธิฯ ที่พระเอกดังทำงานด้วย
จุดนี้ “บิณฑ์” ไลฟ์สดระบุว่า “ผมไม่มีความคิดอุบาทว์ขนาดนั้น” แต่ที่บอกว่าถ้าผมเจอต่อหน้า ใครที่ยกนิ้วกลาง ที่ยกให้กับขบวนเสด็จฯ ต่างหากที่จะตบจริงๆ ซึ่งเด็กจะชู 3 นิ้ว หรือกี่นิ้วก็เรื่องของเขา เขามาเรียกร้องประชาธิปไตย มาเรียกร้องอนาคตของเขา ก็เป็นเรื่องน่ายินดี น่าสนับสนุน
ผมไม่เคยไปชุมนุมกับม็อบ เวทีเดียวของผม คือ “เวทีพระมหากษัตริย์” คนที่ฉีกพระบรมฉายาลักษณ์ คนที่ไปเขียนคำหยาบคาย อันนั้นที่ผมจะทำ จะต่อสู้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเด็กชู 3 นิ้ว
ผมต้องขอโทษมูลนิธิฯ วันนี้เพื่อความสบายใจผมขอลาออกจากมูลนิธิฯ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะได้ไม่กระทบกับมูลนิธิฯที่ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันฯ ผมขอโทษแต่ผมต้องทำ ผมขอสู้ด้วยตัวผมเอง ซึ่งผมทำผิดอะไร ผมออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
เรื่องมูลนิธิฯ ผมทำมากี่ปีแล้ว จะขอช่วยเหลือประชาชนเหมือนเดิม แต่คงไม่ได้ไปในนามมูลนิธิฯ แล้ว ถึงเวลาแล้วที่เราต้องชัดเจน อย่าให้มันฮึกเหิม ไม่ใช่ใครออกมารักสถาบันฯ ก็ไปตามราวีเขา เชื่อว่า เด็ก 80% ไม่รู้เรื่องราว แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสู้ !!
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของกลุ่มคนที่ไร้สติ กระทำเกินเลย ตามคุกคาม ราวีคนอื่นที่นับวันยิ่งเหิมเกริมอย่างที่เขาว่ากัน.
**เนติบริกร แย้มไต๋ ผ่าทางตันการเมือง บอกสามฝ่ายเสนอให้ทำประชามติเรื่องนายกฯ ลาออก
การประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตาม รธน.มาตรา 165 เพื่อหาทางออกประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองเริ่มแล้ว โดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมว่า ขณะนี้หลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ มีการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวหลายราย
ส่วนเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ นั้น “ลุงตู่” ได้ให้แง่คิดต่อที่ประชุมว่า ทุกคนรักชาติ รักวัฒนธรรม รากเหง้า คุณค่าความเป็นไทย และรู้ว่าทุกคนต้องการอนาคตที่ดีแก่ประชาชน และประเทศ เราต้องหาหนทางพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นอย่างมีหลักการ เหตุผล อยู่ใต้กรอบกฎหมาย ไม่ทำลายอดีตที่มีคุณค่าของประเทศที่หยั่งรากลึกเข้าไปในใจของคนไทย...คนไทยหลายสิบล้านคน ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่วุ่นวาย สับสนอลหม่าน ทุกคนมีความเชื่อของตัวเอง จึงต้องมีความสมดุลระหว่างความต้องการของตนเองกับคนอื่นด้วย หวังว่า สมาชิกรัฐสภาทุกคนจะใช้เวลา 2 วันนี้ รวบรวมสติปัญญา ความคิด เลือดรักชาติทุกหยด ร่วมกันคิดให้เดินหน้าไปสู่อนาคตที่ดี พร้อมทั้งปกป้องอดีตที่มีคุณค่าไว้ด้วย หากมีข้อเสนอที่ปฏิบัติได้ เป็นประโยชน์ ไม่เกิดปัญหาใหม่แทรกซ้อนมา รัฐบาลก็จะรับไปดำเนินการ...
ขณะที่สมาชิกฝ่ายค้านส่วนใหญ่ได้อภิปรายพุ่งเป้าไปที่ “ไล่ลุงตู่” ทั้งเรื่องการเข้ามาด้วยการยึดอำนาจ จากนั้นร่าง รธน.เพื่อสืบทอดอำนาจ ความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาคอร์รัปชันจากหลายนโยบาย มีการใช้กฎหมายและกลไกของรัฐปราบปรามผู้ชุมนุม ปิดกั้นสื่อ ทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้าง... สรุปว่าต้นตอของวิกฤตครั้งนี้ คือ ตัว "ลุงตู่" เอง ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือ “ลุงตู่” ต้องลาออกจากตำแหน่ง และแก้ไข รธน. ให้มีความเป็นธรรม
หลังการอภิปรายของฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลผ่านไปได้ระยะหนึ่ง “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ก็ลุกขึ้นชี้แจงแทน “ลุงตู่” ถึงเรื่องการแก้ไข รธน.ว่า นายกฯ มีความจริงใจที่จะแก้ ถึงกับสั่งให้ทำ “ไทม์ไลน์” ตามขั้นตอนให้ดูว่าจะเดินไปอย่างไร...
... เริ่มจากเปิดสมัยประชุมสภาในเดือน พ.ย.นี้ ก็จะมีโหวตรับหลักการ วาระ 1 จากนั้นตั้ง กมธ.มาพิจารณา ถ้าเป็นการตั้งกมธ.เต็มสภา ก็จะเร็ว เสร็จแล้วต้องทิ้งไว้ 15 วัน คาดว่าทั้งสามวาระ น่าจะเสร็จสิ้นได้ในเดือน ธ.ค. แต่ยังประกาศใช้ไม่ได้ เพราะต้องมีการออกเสียงประชามติก่อน ...
ปัญหาที่ซ้อนกันอยู่ก็คือ ตอนนี้ พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ ยังไม่เสร็จ ที่ กกต.ยกร่าง ได้ส่งมาให้ ครม.แล้ว น่าจะส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ในสัปดาห์หน้า คงใช้เวลาพิจารณาคู่ขนานไปกับการพิจารณา ร่างแก้ไข รธน. ... จากนั้นนำร่างกฎหมายออกเสียงประชามติ ที่สภาเห็นชอบแล้ว ขึ้นทูลเกล้าฯ ทรงมีเวลาพิจารณา 90 วัน แล้วแต่พระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อไร จากนั้นจึงเอา ร่าง รธน.ไปสู่การทำประชามติ แต่หากมีการตั้ง ส.ส.ร. ก็ต้องดำเนินการคัดเลือกอีก ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ กมธ. จะพิจารณากันมา
นี่เป็นเพียงขั้นตอนการแก้ รธน. มาตรา 256 เท่านั้น ยังไม่ได้ไปถึงขั้นตั้ง ส.ส.ร.เพื่อยกร่าง รธน.ใหม่เลย
สำหรับข้อเรียกร้อง “ยุบสภา” นั้น ก็จะมีคำถามว่าสภามีความผิดอะไรถึงจะยุบ เพราะจะต้องเกิดจากความขัดแย้งอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ถึงจะยุบสภาได้
ส่วนข้อเรียกร้องหลัก ที่ให้นายกฯ ลาออกนั้น “วิษณุ” อธิบายให้เห็นภาพว่า หากนายกฯ ลาออกก็ต้องหานายกฯคนใหม่ ซึ่งตาม รธน. มาตรา 172 มีเงื่อนไขว่า ต้องมาจากรายชื่อ “แคนดิเดต” ที่เคยเสนอเอาไว้เมื่อครั้งเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 5 คน จากเดิม 7 คน โดยตัด “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับ “พล.อ.ประยุทธ์” ออกไป แต่คนที่จะมาเป็นนายกฯ จะต้องได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภาที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้ ที่ประชุมรัฐสภามีสมาชิกที่มีสิทธิออกเสียงได้ 732 คน ซึ่งกึ่งหนึ่ง ก็คือ 366 เสียง ต่อให้ ส.ว.งดออกเสียงทั้งหมด ตามที่หลายคนเรียกร้อง ก็ต้องหากันมาให้ได้ 366 เสียง หากหาไม่ได้ ก็จะกลายเป็นว่ามาถึงทางตันอีก แล้วจะทำอย่างไร ... บางคนบอกว่าให้ “ส.ส.พลังประชารัฐ” เทเสียงช่วยพรรคร่วมฝ่ายค้าน ชูใครขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็ได้ แบบนั้นก็คงไม่มีใครเขาทำกัน ...เพราะข้างนายกฯ “ลุงตู่” ก็มีเสียงเรียกร้องเหมือนกันว่า “อย่าออก” !!
สุดท้าย “วิษณุ” บอกว่า... ยังมีข้อเสนอที่ทั้งสามฝ่ายเสนอมาในที่ประชุม คือ ให้ทำประชามติถามประชาชนว่า “นายกฯควรลาออกหรือไม่” แต่ก็มีปัญหาว่า รธน. มาตรา 166 บัญญัติ ห้ามทำประชามติออกเสียงเรื่องตัวบุคคล ... แต่หากจะหาช่องทางอื่นที่แยบคาย และแนบเนียนก็น่าจะพิจารณาได้...
เป็นอันว่าหาก “ลุงตู่” โอเค กับช่องทางนี้ เชื่อว่าระดับ “เนติบริกร” ย่อมเสกช่องทางที่ “แยบคายและแนบเนียน” ได้อยู่แล้ว !!