xs
xsm
sm
md
lg

รัฐสภาเปิดเวทีหาทางออกประเทศ “บิ๊กตู่” ห่วงไม่อยากให้เกิดจลาจล ชี้การเปลี่ยนแปลงต้องมีจุดสมดุล ฝ่ายค้านซัดต้นตอวิกฤต แนะต้องลาออก แก้ รธน. ปล่อยตัวแกนนำม็อบ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ประยุทธ์” แจงสถานการณ์ประเทศ รัฐบาลไม่อยากให้เกิดการปะทะ จลาจลในบ้านเมือง เตรียมพร้อมเดินหน้าสู่อนาคต แต่ต้องไม่ลืมวัฒนธรรม รากเหง้า คุณค่าความเป็นไทย ชี้หลายสิบล้านคนไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแบบวุ่นวายอลหม่าน ทุกคนมีความเชื่อของตัวเอง จึงต้องมีความสมดุลระหว่างความต้องการของตนเองกับคนอื่นด้วย ยันดูแลม็อบชุมนุมดีที่สุด ยึดกฎหมายผ่อนปรน อะลุ้มอล่วย ป้องพวกฉวยโอกาสซ้ำรอยวังวนเดิม ฝ่ายค้านซัดต้นตอวิกฤต แนะต้องลาออก แก้ รธน. ปล่อยตัวแกนนำม็อบ ฝ่ายค้านอัดต้นตอวิกฤต แนะนายกฯ ต้องลาออก แก้รัฐธรรมนูญ เร่งปล่อยตัวนักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่ถูกจับกุมคุมขัง

วันนี้ (26 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.45 น. มีการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาวาระสำคัญคือญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อหาทางออกประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำทีม ครม.เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวเปิดญัตติการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญว่า สถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นรัฐบาลพยายามดูแลสถานการณ์ให้ดีที่สุด ใช้กฎหมายอะลุ้มอล่วย ผ่อนผันมาตลอด แต่การชุมนุมยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้การชุมนุมจะมีเสรีภาพได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่รัฐต้องใช้อำนาจเข้าควบคุมการชุมนุมที่ผิดกฎหมายที่เป็นข้อยกเว้นเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ ข้อเรียกร้อง 3 ข้อของผู้ชุมนุมหลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนดำเนินการอยู่แล้ว และเริ่มมีการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวหลายราย หลายครั้งที่การชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่บางแห่งมีความรุนแรงเกิดขึ้น ปฏิบัติในสิ่งไม่สมควร รัฐบาลไม่อยากให้เกิดการปะทะ จลาจลในบ้านเมือง สิ่งที่มั่นใจคือ คนไทยแม้จะมีมุมมองด้านการเมืองแบบใด แต่ทุกคนรักชาติ รักวัฒนธรรม รากเหง้า คุณค่าความเป็นไทย และรู้ว่าทุกคนต้องการอนาคตที่ดีแก่ประชาชนและประเทศ เราต้องหาหนทางพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นอย่างมีหลักการเหตุผล อยู่ใต้กรอบกฎหมาย ไม่ทำลายอดีตที่มีคุณค่าของประเทศที่หยั่งรากลึกเข้าไปในใจของคนไทย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในนามรัฐบาลรู้ว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของโลก แต่ต้องยอมรับคนไทยหลายสิบล้านคน ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่วุ่นวาย สับสนอลหม่าน ทุกคนมีความเชื่อของตัวเอง จึงต้องมีความสมดุลระหว่างความต้องการของตนเองกับคนอื่นด้วยอย่างสร้างสรรค์ หวังว่าทุกคนจะใช้เวลา 2 วันในรัฐสภารวบรวมสติปัญญา ความคิด เลือดรักชาติทุกหยดร่วมกันคิด ให้เดินหน้าไปสู่อนาคตที่ดี ปกป้องอดีตที่มีคุณค่าไว้ด้วย หากสมาชิกรัฐสภามีข้อเสนอที่ปฏิบัติได้ เป็นประโยชน์ ไม่เกิดปัญหาใหม่แทรกซ้อนมา รัฐบาลจะรับไปดำเนินการ ส่วนตัวเชื่อว่าพื้นฐานสังคมไทยคือ ความห่วงใยกัน แม้จะมีเรื่องไม่เห็นด้วยกันบ้าง แต่เราก็ยังรักกันตลอดไป

หลังจากนายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดญัตติ สมาชิกรัฐสภาได้ทยอยอภิปราย โดยสมาชิกฝ่ายค้านส่วนใหญ่ได้อภิปรายตำหนิ พล.อ.ประยุทธ์ หลายเรื่อง ทั้งการเข้ามาซึ่งอำนาจจากการยึดอำนาจ และต่อด้วยการร่างรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้ตนเองได้กลับเข้ามาอยู่ในอำนาจอีกครั้ง และความล้มเหลวในการบริหารประเทศจนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ท่ามกลางปัญหาคอร์รัปชันจากหลายนโยบาย โดยเฉพาะการใช้กฎหมายและกลไกของรัฐปราบปรามผู้ชุมและปิดกั้นสื่อ ทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้าง จึงมองว่าต้นต่อปัญหาวิกฤตนี้คือตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือต้องลาออกจากตำแหน่ง และแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความยุติธรรม

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ญัตติของรัฐบาลไม่สร้างสรรค์ เนื้อหาสาระมีแนวโน้มที่จะสร้างความแตกแยกร้าวฉานในสังคมไทย ซ้ำเติมสถานการณ์ให้บานปลาย ไม่สามารถเป็นทางออกของสังคมไทยได้ ตนจึงขอร้องให้ที่ประชุมช่วยกันประคับประคองให้การอภิปรายในครั้งนี้เป็นการถกเถียงเพื่อคลี่คลายวิกฤติของประเทศ

การบริหารจัดการปัญหาภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยิ่งนำพาไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากถ้อยคำ การกระทำ และมาตรการต่างๆ ที่ออกมาล้วนแล้วแต่เป็นการราดน้ำมันลงไปในกองเพลิง อีกทั้งประเด็นข้อเรียกร้องล้วนเกิดมาจากเงื่อนที่รัฐบาลชุดนี้ผูกไว้ ขาดความชอบธรรมตั้งแต่การเข้ามาสู่อำนาจ การสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจของตน นายสมพงษ์ย้ำว่า ตลอด 6 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้ไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จนต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องโดยสันติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการสั่งการภายใต้ความรับผิดชอบโดยตรงของนายกรัฐมนตรีให้มีการกระทำรุนแรง สลายการชุมนุมของประชาชนผู้บริสุทธิ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา อีกทั้งมีการจับกุมคุมขัง ตั้งข้อกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม

ประเทศกำลังก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมและการยืนกรานของท่านในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยแนวคิดอำนาจนิยม ใช้กลไกมาตรการของรัฐมาควบคุม คุกคามประชาชนในทิศทางที่ไม่ได้เกิดการแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม ไม่ให้พื้นที่ ไม่เปิดโอกาสในการรับฟังเสียงของประชาชน ที่มีสิทธิในฐานะพลเมืองของชาติ เป็นแนวทางที่ยิ่งขยายความขัดแย้ง ความรุนแรง จนไม่สามารถสร้างโอกาส และทางเลือกที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาของชาติ ประเทศเกิดความเหลื่อมล้ำที่ขยายช่องว่างมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ปัญหาพื้นฐานด้านเศรษฐกิจก็ยิ่งดิ่งลง จนไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้ การมุ่งแต่การกดหัว ใช้อำนาจกระทำต่อนักเรียน นักศึกษา ประชาชนในสถานศึกษา โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้รับฟังปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชนไม่ได้สร้างบรรยากาศของการยอมรับกันในฐานะมนุษย์ที่เป็นพลเมืองแห่งอนาคต การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย ควรจะได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง และร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ ไม่ใช่เพียงการซื้อเวลาออกมากล่าวหาและบอกปัดอย่างไม่ตระหนักถึงปมรากปัญหาที่แท้จริง หรือการที่นายกรัฐมนตรีบริหารบ้านเมืองเช่นนี้เป็นความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศชาติยากที่จะควบคุมเพื่อให้ตนได้สืบทอดอำนาจต่อไป

“การแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศ ต้องไม่ใช่การใช้กำลังประทุษร้าย หรือการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง และยั่วยุให้เกิดการปะทะกัน การใช้กำลังสลายการชุมนุม การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง อันเป็นมาตรการที่เกินเลย จากสถานการณ์และความเป็นจริง การใช้กฎหมายที่ไม่ชอบธรรม ไม่เท่าเทียมกัน เป็นสองมาตรฐานในการเอาผิดกับประชาชนผู้เห็นต่าง หรือแม้กระทั่งการสั่งปิดสื่อมวลชนที่เห็นต่างจากรัฐบาล ล้วนเป็นการกระทำที่รังแต่จะสร้างแรงกดดันเพิ่ม”

นายสมพงษ์เสนอว่า ต้องพิจารณาข้อเสนอของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนอย่างจริงจัง, ต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว ไม่ดึงเวลาให้ล่าช้า ไม่ทันสถานการณ์วิกฤติที่กำลังบานปลาย, เร่งปล่อยตัวนักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่ถูกจับกุมคุมขัง จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง, ยุติการปิดกั้นสื่อ เปิดช่องทางการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และยุติการใช้กฎหมายที่ดำเนินคดีกับประชาชนผู้เห็นต่างจากรัฐบาล และที่สำคัญคือนายกรัฐมนตรีต้องลาออก
























กำลังโหลดความคิดเห็น