ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ไม่ต้องลับๆ ล่อๆ ขอ “ว.5” “เศรษฐา” เจ้าของ “แสนสิริ” โดดร่วมวงโหนม็อบ ฟ้องยูนิเชฟแซะ ลุงตู่ งานนี้ทีม “ยิ่งลักษณ์” จัดให้
ขณะที่สถานการณ์การเมืองร้อนระอุ จากการเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมม็อบคณะราษฎร ต่อกรกับรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็ปรากฏมีการเคลื่อนไหวของบื๊กเนมในวงการธุรกิจ เช่น “เศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ให้ได้พูดถึงกันในโลกโซเชียลฯ
ที่เจ้าของบริษัทอสังหาฯรายใหญ่รายนี้ ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นการทวีตข้อความ ผ่านทวิตเตอร์ @Thavisinของเขา ว่าด้วยจดหมายเปิดผนึกของตนเอง ส่งถึง “โธมัส ดาวิน” ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ใจความว่า ... จากเหตุการณ์รัฐบาลใช้มาตรการที่ค่อนข้างจะรุนแรงในการเข้าสลายและปราบปรามการชุมนุม บริเวณพื้นที่สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วย ประชาชนจำนวนมาก รวมถึงเด็กและเยาวชนด้วย ทำให้ข้าพเจ้าในฐานะหนึ่งในพันธมิตรของยูนิเซฟ ที่มีโอกาสทำงานด้านสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนร่วมกับยูนิเซฟมาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี รู้สึกมีความกังวลใจในเหตุการณ์ดังกล่าว และมีความจำเป็นต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ถึงทางยูนิเซฟ โดยข้าพเจ้าขอยืนยันว่า เจตนาของจดหมายฉบับนี้ มิได้ต้องการแสดงความเห็นทางการเมือง หรือให้การสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด
ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่า “ยูนิเซฟ” ต้องระมัดระวังการออกมาแสดงความเห็นใจสถานการณ์ขณะนี้ และอาจมีความกังวลจากการถูกติติง หรือโจมตีจากฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนเงินบริจาค แต่สิ่งสำคัญที่สุดในสถานการณ์ ณ ขณะนี้คือ ทุกฝ่ายต้องมองให้ตรงกันว่าเรื่องของสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน และเรื่องของทัศนคติความเห็นต่างทางการเมือง เป็นสองเรื่องที่ต้องถูกแยกออกจากกันให้ชัดเจน
ในฐานะของ Unicef's Selected Partner เพียงองค์กรเดียวในประเทศไทย ข้าพเจ้าอยากเรียกร้องให้ “ยูนิเซฟ ประเทศไทย” ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ เน้นย้ำกับรัฐบาลมิให้มีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมอีกเหมือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แถลงการณ์ของ “ยูนิเซฟ ประเทศไทย” ที่ระบุชัดเจนถึงเรื่องนี้ จะเป็นอีกหนึ่งเสียงสำคัญที่ทางรัฐบาลจะรับฟัง
สรุปว่า “เศรษฐา” ใช้ “แสนสิริ” ที่เป็นพันธมิตรกับยูนิเชฟ ดึงองค์กรสากลมาเพื่อปราม “รัฐบาลลุงตู่” แม้ว่าจะออกตัวไม่ได้โหนกระแสม็อบ ไม่ได้จะไปยุง “การเมือง” แต่พลันที่เรื่องนี้แพร่ออกสื่อ ก็มีคนไม่น้อยที่ตั้งข้อสังเกตผ่านโซเชียลฯ ว่า จังหวะก้าวย่างของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายนี้ จงใจเคลื่อนไหวหลังจาก “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดี ที่โพสต์ “ฟาด” ใส่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ทบทวนความจำเมื่อครั้งตัวเองโดน “ม็อบ กกปส.” เป่านกหวีดไล่เมื่อวันก่อนหรือไม่
คำตอบก็คงเดากันไม่ยาก เพราะรับรู้กันว่า “เศรษฐา” นั้น มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แบบเรียกว่า เป็นทีมแม้ว ทีมปู ก็คงไม่ผิด เปิดตัวออกมาก่อนนี้ก็หลายครั้ง ส่วนจะเป็นทีมเดียวกับ “หญิงอ้อ” พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ด้วยหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่สงสัยกันอยู่ เพราะว่ากันว่า “ทีมแม้ว-ปู” เคลื่อนไหวแยกกันกับ “ทีมหญิงอ้อ”
ความที่ “เศรษฐา” มากับทีมแม้ว-ปู ด้วยเหตุนี้ ถ้าจำกันได้ “ยุคน้องปู” การสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา รุนแรงกว่านี้หลายเท่า ทำไม “เศรษฐา” ไม่ออกมาพูดบ้าง โดน m79 ตายรายวัน ก็ไม่เห็นพูดอะไร หรือเหตุการณ์ “สลายม็อบพันธมิตรฯ” ที่หน้ารัฐสถา วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรีนอมินีของตระกูลชินวัตรในขณะนั้น จะต้องกล่าวแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แล้วเกิดการปะทะกันรุนแรงที่สุด ระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุม มีการใช้แก๊สน้ำตา เพื่อจะเปิดทางให้รัฐมนตรี และ ส.ส. ที่อยู่ในรัฐสภา ทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บ และเสียชีวิต แต่ “เศรษฐา” ไม่เคยเรียกร้องต่อองค์กรอะไรเลย
ปฏิบัติการ “แซะลุงตู่” ลากยูนิเซฟมาเกี่ยวโยงม็อบของ “เศรษฐา” ครั้งนี้กระทำอย่างเปิดเผย จึงมองได้ว่า เป็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายแค้น ทีมยิ่งลักษณ์ ที่ฟาดได้ต้องฟาด จัดให้ลุงต่อเนื่อง ไม่ต้องลับๆ ล่อๆ ขอ “ว.5” กันละ คล้ายๆ เหตุการณ์กำลังชุลมุน “ลุงตู่” เดินมาเข้าทางอย่างนี้ โอกาสดีใช้ไม้หน้าสามฟาดหวดรัฐบาลประยุทธ์ ช่วย “ปู” ยิ่งลักษณ์ ไปอีกหนึ่งดอก...
งานนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน.
** ต้องติดตาม!! เปิดสภาวิสามัญ ผ่าทางตันการเมืองได้หรือไม่ หรือแค่ลดการเผชิญหน้ากันบนถนนชั่วคราว..
สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา ประชาชน ในนาม “คณะราษฎร 63” ที่ต่อเนื่องมาจากวันที่ 14 ตุลาคม กลุ่มผู้ชุมนุมได้บุกยึดทำเนียบรัฐบาล กดดันให้นายกฯลาออก แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่เข้าสลายในช่วงใกล้สว่าง จากนั้นในวันต่อๆ มาได้เริ่มกระจายไปยึดย่านธุรกิจที่สำคัญ เช่น แยกราชประสงค์ แยกปทุมวัน แยกบางนา อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แบบแฟลชม็อบ ชนิด “นัดเป็นมา” โดยไม่สนใจ ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร แต่ชุมนุมกันอยู่ไม่นาน แล้วสลายตัวไป
นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมในเขตปริมณฑล เช่น เซ็นทรัลเวสต์เกต อิมพีเรียลสำโรง ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์ รังสิต และกระจายไปยังต่างจังหวัดทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในสถานศึกษา ...
“แรงจูงใจบวกอารมณ์โกรธแค้น” ที่ทำให้มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าจะมาจากการที่รัฐบาลเล่นเกมยื้อแก้ไข รธน. หลังจากตั้ง กมธ.ศึกษา 30 วันก่อนโหวต และกำลังขอขยายเวลาออกไปอีก 15 วัน ... บวกกับท่าทีของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่พาคณะรัฐมนตรีออกมายืนเรียงแถว ประกาศ “ไม่ลาออก” พร้อมคำถามกลับว่า “รัฐบาลทำผิดอะไร” ... สลายการชุมนุมด้วยการ “ฉีดน้ำสี” ที่แยกปทุมวัน และ จับกุมแกนนำแบบไม่ให้ประกันตัว
จึงเป็นปัจจัยให้ “ม็อบจุดติด” และกำลังลุกลาม กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุม กับรัฐบาล และมีแนวโน้มว่าจะยกระดับความเข้มข้น รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ยังไม่รู้ว่า “จุดจบ” จะลงเอยอย่างไร... ทำให้หลายฝ่ายต่างแสดงความเป็นห่วง และเสนอให้ใช้เวทีสภาฯในการพูดคุยแก้ปัญหา เหมือนเปิดฝากาน้ำที่กำลังเดือด จะได้ลดแรงดันลงไปบ้าง
“ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา จึงได้เชิญตัวแทนพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และตัวแทนของคณะรัฐมนตรี มาร่วมหารือถึงการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เป็นการเร่งด่วนเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกันว่า “ไม่ขัดข้อง” ที่จะให้มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญขึ้น... “ชวน หลีกภัย” จึงทำหนังสือด่วนที่สุด ถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้รับฟังความคิดเห็นของ ส.ส. และ ส.ว. โดยขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา165 ... ซึ่งก็คือการเปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติ
เมื่อทุกฝ่ายแสดงเจตจำนงเช่นนี้ “ลุงตู่” ก็มีท่าทีอ่อนลง ... บอกว่ารัฐบาลก็มีความคิดนี้อยู่แล้ว จะได้ทำความเข้าใจกันในสภา เพื่อลดความขัดแย้งลงไปให้ได้มากที่สุด... ซึ่งต่างจากท่าทีของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ที่ก่อนหน้านี้จะยืนกราน บอกว่าเหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภาสมัยสามัญอยู่แล้ว ...
“ผมขอยืนยันตรงนี้ วันที่ 20 ต.ค. จะมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเตรียมการให้พร้อม” นายกฯให้คำมั่นอย่างหนักแน่น
ขณะเดียวกัน เพื่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความปรองดองก่อนการเปิดประชุมสภาฯ ก็ได้มีการให้ประกันตัวแกนนำ อย่าง “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล “แอมมี่” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ กับพวกที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ...
เพราะในการชุมนุมระยะหลังนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมมักตะโกนว่า... “ปล่อยเพื่อนกู ..ปล่อยเพื่อนกู” และได้เป็นเงื่อนไขนำไปสู่ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. หยุดดำเนินคดีแก่ประชาชนทุกกรณี 2. ปล่อยบุคคลที่ต้องข้อหาตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไม่มีเงื่อนไข เนื่องจากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม และ 3. สภาต้องรับหลักการ ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพื่อเป็นการหาทางออกให้แก่ประเทศ และเป็นการยุติปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองคลี่คลายและเกิดความสันติอย่างแท้จริง
ก็ต้องจับตาการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (20 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมจะมีมติให้ ตรา พ.ร.ฎ.เรียกประชุมสมัยวิสามัญขึ้น เปิดอภิปรายทั่วไป ให้คณะรัฐมนตรี ได้รับฟังความคิดเห็นของ ส.ส. และ ส.ว. โดยไม่ลงมติ หรือจะมีประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของฝ่ายค้าน และกลุ่มผู้ชุมนุม ระบุลงไปด้วย... เพราะแน่นอนว่าฝ่ายค้านและกลุ่มผู้ชุมนุม ก็ต้องการให้มีการโหวตญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ยังค้างสภาอยู่ในการเปิดสมัยวิสามัญครั้งนี้ เพื่อเป็นการ “วัดใจ” ว่า รัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ก่อนที่จะไปหารือกันเรื่องอื่น อย่างเช่น ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ...หยุดการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม หรือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ...
การใช้เวทีสภาผ่าทางตันครั้งนี้ จะได้ผลตามที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้หรือไม่ สภาจะเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้หรือไม่ ต้องติดตาม !!