เมืองไทย 360 องศา
ตามกำหนดการของพวก “คณะราษฎร 63” ที่อ้างว่าเป็นการสืบสานประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี 2475 จะนัดชุมนุมใหญ่กันในวันที่ 14 ตุลาคม โดยบรรดาแกนนำบางคนถึงกับมั่นใจว่า จะมีคนเข้าร่วม “เป็นล้านคน” และประกาศอย่างแข็งกร้าวว่าจะ“จัดการแบบม้วนเดียวจบ” เนื่องจากมั่นใจว่ามีมวลชนเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมากนั่นเอง
สำหรับบรรดาแกนนำที่ถือว่าเป็นผู้ “ก่อการ” ของ “คณะราษฎร” ใน พ.ศ.นี้ ก็มีปรากฏชื่อให้เห็นเช่น นายอานนท์ นำภา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ นายภานุพงศ์ จาดนอก เป็นต้น ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนแบบออกนอกหน้า ก็คือ “กลุ่มทุน” ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มการเมืองในชื่อว่า “กลุ่มก้าวหน้า” รวมไปถึงพรรคการเมืองในเครือข่ายเดียวกันคือ พรรคก้าวไกลนั่นแหละ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศและสถานการณ์ตามความเป็นจริง หลายฝ่ายต่างลงความเห็นตรงกันว่า คงมีคนเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ไม่มากนัก เพราะเมื่อพิจารณาจากกลุ่มมวลชนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีบางส่วนเคยเข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา และต่อเนื่องเมื่อวันที่ 24 กันยายน พวกเขาต่างยืนยันแล้วว่า คราวนี้จะไม่เข้าร่วม
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ทำให้มั่นใจได้ว่า การชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม จะมีคนมาร่วมแบบ “โหรงเหรง” แน่นอน อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากท่าทีการเตรียมรับสถานการณ์จากฝ่ายความมั่นคง และแกนนำรัฐบาลตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ล้วนมีท่าทีผ่อนคลาย มีการอ้างรายงานข่าวกรองว่า “มีคนไม่มาก”
ประกอบกับการชุมนุมที่มีขึ้นหลังจากวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งสำหรับคนไทยแทบทั้งหมดถือว่าเป็นวันอันสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพิธีรำลึกจะมีต่อเนื่องไปถึงวันที่ 14 ตุลาคม แน่นอนว่า เมื่อกลุ่ม “คณะราษฎร 63” เจาะจงมาชุมนุมซ้อนกันแบบนี้ มันก็เหมือนมีเจตนาที่ต้องการ “พิสูจน์และท้าทาย” อะไรบางอย่าง
แต่สิ่งที่เห็นในวันที่ 13 ตุลาคม ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนอีกครั้งว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ยังได้รับความรักความศรัทธาจากประชาชนคนไทยอย่างเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม ยากที่จะโยกคลอนได้ง่ายๆ อย่างน้อยที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด ก็คือ ภาพของคนไทยที่พร้อมใจกันสวมเสื้อเหลืองเพื่อร่วมรำลึกถึง “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” กันทั่วประเทศ รวมทั้งมีการต่อแถวเข้าคิวกันอย่างยาวเหยียด เพื่อสักการะพระบรมรูปและพระบรมฉายาลักษณ์ พระสาทิสลักษณ์ ตามสถานที่สำคัญ เป็นภาพที่ปรากฏโดยไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม ของกุ่มคณะราษฎร 63 แม้ภาพภายนอกที่แสดงให้เห็นว่า มีแกนนำดังมีรายชื่อที่เห็นข้างต้นไปแล้ว แต่ด้วยศักยภาพ และชื่อชั้น เครดิตของแต่ละคนแล้วรับรองว่า “ไม่ใช่” แน่นอน เพราะเมื่อพิจารณาจากบุคลิก คำพูดคำจา ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ลักษณะของผู้นำมวลชน หรือเหมาะที่จะทำการใหญ่แบบนี้ และก็อย่าได้แปลกใจที่ยิ่งนานไปก็ยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ มีแต่คนถอยห่าง
และที่สำคัญที่สุด ก็คือ เป้าหมายของการชุมนุมของกลุ่มที่ว่านี้ กลับถูกมองว่ามีเจตนาที่อ้างว่าต้องการให้มีการ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” โดยบอกว่าต้องการให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่สังคมส่วนใหญ่มองว่ามี “เจตนาล้มเจ้า” นั่นแหละ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองเหตุการณ์ มันก็เห็นชัดกันแล้วว่าเป็นอย่างไร
เมื่อพูดถึง “ม็อบ 14 ตุลา” ก็ต้องพูดถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง หรือ “ท่อน้ำเลี้ยง” หนุนม็อบ แน่นอนว่า ยังไม่มีใครยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นใครกันแน่ แต่รับรองว่าทุกคนย่อมต้องชี้ไปที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งที่ผ่านมา เขาก็ออกตัวค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะทัศนคติที่เป็นลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ในยุค “นิตยสารฟ้าเดียวกัน” ที่ถูกจับตามองมานานว่าเป็นทัศนคติที่เป็นตัวตนของเขา รวมไปถึงนโยบายและการเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามอดีตพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศและสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกำลังกลายเป็น “สถานการณ์ย้อนกลับ” เข้าหา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ “ทุน” ในเครือข่ายของเขาที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบมากขึ้น เนื่องจากสังคมเริ่มมองออกในทางเดียวกันแล้วว่า เขาและพวกมี “เจตนาล้มเจ้า” ดังจะเห็นปฏิกิริยาที่เริ่มมีการต่อต้านขับไล่มากขึ้น และการที่มีกลุ่มมวลชนไปขับไล่ที่หน้า “อาคารไทยซัมมิท” ของเขาก็ถือว่าน่าจับตามองอย่างยิ่ง
เพราะนี่อาจเป็นปฏิกิริยาจากสังคมที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น และเป้าหมายก็เริ่มพุ่งกลับมาที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มากขึ้นแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะยังไม่ใช่เป็นบุคคลสาธารณะ และยังไม่มีการตั้งพรรคการเมือง ที่ผ่านมา จะเป็นลักษณะในแบบนักเคลื่อนไหวอยู่ข้างเวที จึงไม่มีความกดดัน แต่คราวนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม มันก็ช่วยไม่ได้ที่แรงกดดันจะพุ่งเข้าใส่ตัวเขา ประกอบกับเมื่อมีการเปิดเผยเจตนาให้เห็นชัดเจนกับทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มันก็ยิ่งทำให้สังคมมีปฏิกิริยาในทางลบอย่างชัดเจนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ที่สำคัญ เมื่อพิจารณาจากบทบาทที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง“แนวคิด”หรือความสำเร็จในทางธุรกิจก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่โดดเด่น ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ “พื้นๆ” มีแต่ความรวยที่เป็นมรดกตกทอดมาจากครอบครัวเท่านั้น
ดังนั้น นาทีนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงไม่ได้อยู่ในฐานะนักคิด หรือผู้นำมวลชนที่สมควรต้องเดินตาม เนื่องจากยังไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นถึงความกล้าหาญ ลักษณะที่ออกมาจึงเป็นแบบเจตนาป่วนเท่านั้น และเชื่อว่านับจากนี้หลังจากการชุมนุม 14 ตุลาฯเป็นต้นไป “กรรม” น่าจะไล่ล่าหนักข้อขึ้นแน่นอน !!