การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคณะราษฎรในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ แม้ไม่อาจประเมินจำนวนผู้เข้าร่วมได้แน่ชัด แต่คาดกันว่า ไม่น่าจะมากกว่าการชุมนุมของม็อบเยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา และไม่สามารถยกระดับการชุมนุมไปสู่การกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ได้
การชุมนุมของม็อบเยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา สามารถสร้างความสะเทือนให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนต้องปลุกระดมการต่อต้านม็อบเด็กในทุกรูปแบบ
แต่หลังการชุมนุมใหญ่ 19 กันยายน กระแสม็อบเด็กแผ่วลง จนเชื่อว่า การนัดชุมนุมใหญ่รอบ 2 ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะมีมวลชนเข้าร่วมน้อยกว่าการชุมนุมใหญ่ครั้งแรก
การที่ม็อบเด็กจุดไม่ติด ปลุกมวลชนไม่ขึ้น ไม่ได้เกิดจากความสำเร็จของรัฐบาล ในการระดมมวลชนต่อต้าน ไม่ได้เกิดจากการใช้กระบอกเสียงใส่ร้ายป้ายสีโจมตีม็อบ และการยัดข้อหา “ชังชาติ” หรือการใช้กฎหมายเล่นงานแกนนำผู้จัดการชุมนุม
แต่เป็นเพราะความผิดพลาดของม็อบ จนพังด้วยตัวเอง
การแตกพ่ายของม็อบเด็กเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา น่าจะเกิดจาก 3 ประเด็นสำคัญคือ การใช้คำพูดหยาบคาย ไม่สมกับเป็นเยาวชน มีการใช้คำลามกสื่อในเรื่องเพศบนเวที โดยเฉพาะแกนนำบางคนที่แสดงวาจาก้าวร้าว ทั้งที่เป็นนักศึกษาสตรี จนประชาชนรับไม่ได้กับพฤติกรรม และเกิดกระแสต่อต้านม็อบกลายๆ
นอกจากนั้น ยังมีการระดมมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุม โดยใส่เสื้อแดงกันอย่างเปิดเผย และเข้าทางรัฐบาลที่พยายามโจมตีมาตลอดว่า การชุมนุมของม็อบเด็ก มีกลุ่มการเมืองบงการอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งยังทำให้มวลชนที่เอาใจช่วยม็อบเด็ก ไม่อยากสนับสนุนม็อบเด็กต่อไป
เพราะกลัวว่า จะเป็นการสนับสนุนม็อบที่กลุ่มนายทักษิณ ชินวัตรสนับสนุน โดยปลุกระดมคนเสื้อแดงผสมโรงกับม็อบเด็ก
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นการล้มล้างสถาบัน โดยผู้นำม็อบหลายคน จาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแรง จนทำให้แนวร่วมจำนวนไม่น้อยถอนตัวออก เพราะไม่เห็นด้วยกับการก้าวล่วงสถาบัน
ม็อบเยาวชนที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเผด็จการ เรียกร้องประชาธิปไตย นัดชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และกดดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ สามารถเรียกกองเชียร์ได้อย่างท่วมท้นทั่วประเทศ จนทำท่าจะเป็นม็อบใหญ่ที่อาจขับเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้
แม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังหวั่นไหวไปกับม็อบเด็ก
แต่น่าเสียดายที่กระแสม็อบเด็กกำลังจะดับวูบลงภายในเวลาอันสั้น ซึ่งจะทำให้พล.อ.ประยุทธ์รอดหวุดหวิดไปอีกครั้ง และมีแนวโน้มที่จะอยู่ได้ยาว ทั้งที่กว่า 6 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้แก้ปัญหาของประเทศ ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน
เด็กเยาวชนที่ลุกฮือขึ้นมาครั้งนี้ ถ้ามุ่งเฉพาะประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ การขับไล่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ โดยสะท้อนถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการคอร์รัปชันที่มีมากกว่ารัฐบาลในยุคนายทักษิณเสียอีก
ตีแผ่ถึงการเล่นพวกพ้อง ตอกย้ำให้เห็นถึงความล้มเหลวของพล.อ.ประยุทธ์ในการบริหารประเทศมากกว่า 6 ปี โดยไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย ประชาชนจำนวนมากคงพร้อมลงเดินถนนไปกับม็อบเด็ก
เพราะกระแสความไม่พอใจรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์คุกรุ่นมาตลอด 6 ปี
แต่เสียดายที่ม็อบเด็กต้องแตกพ่ายไปเพราะความเป็นเด็ก แตกสลายเพราะข้อเรียกร้องที่หลากหลายเป้าหมายมากเกินไป และแกนนำหลายคนก็ทำลายศรัทธามวลชน ด้วยพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ใช้วาจาที่หยาบคาย จนเหมือนเด็กที่ไม่ได้เติบโตภายใต้การบ่มเพาะด้วยวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย
ถ้าม็อบเด็ก พุ่งเป้าที่การปฏิรูปการเมือง การขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ สะท้อนถึงปัญหาปากท้อง และปัญหาการทุจริตที่เลวร้ายและรุนแรงยิ่งกว่ายุคผู้นำพลเรือน วันนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อาจระส่ำระสาย
และการชุมนุมใหญ่ของคณะราษฎรวันที่ 14 ตุลาคมปีนี้ อาจมีมวลชนเข้าร่วมอย่างมืดฟ้ามัวดินเหมือนเมื่อ 47 ปีก่อนก็ได้ เพราะประชาชนพร้อมจะลุกฮือเพื่อขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ร่วมกับเด็กอยู่แล้ว
กระแสม็อบเด็ก ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หลังจากนี้จะมีสภาพแตกสลาย โอกาสที่จะจุดติดครั้งใหม่เป็นไปได้ยาก จึงหมดพลังที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
พล.อ.ประยุทธ์คงอยู่ต่อไป ท่ามกลางกระแสความไม่พอใจของประชาชนการบริหารงานตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
แต่สำหรับเยาวชนที่รักชาติ เด็กที่มีอุดมการณ์ ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่ดี ยังมีเวลาที่จะปรับขบวนม็อบใหม่
พุ่งเป้าไปที่พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว ตีแผ่ถึงความล้มเหลวในการปราบทุจริต ตอกย้ำถึงปัญหาปากท้องของประชาชน ชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปอาจนำสู่ชัยชนะได้