อุดรธานี - “ขวัญชัย ไพรพนา” เปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองหลังออกคุก มองการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนนัดมวลชนม็อบ 14 ต.ค.นี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าคนเสื้อแดงเคยทำพร้อมเตือนอย่าก้าวล่วงสถาบัน ต้องยอมรับว่าเราเป็นประชาชนคนไทย อยู่ในประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นอย่าล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์
นายขวัญชัย ไพรพนา อดีตแกนนำคนเสื้อแดง จ.อุดรธานี เป็นบุคคลหนึ่งที่นักติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงรู้จักดี เขามีบทบาทสำคัญในฐานะแกนนำผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีในตระกูลชินวัตรเมื่อหลายปีก่อน และหลังออกจากคุกเพราะทำผิดอาญาแผ่นดินเมื่อราว 2 ปีก่อนข่าวคราวของเขาค่อนข้างเงียบ มีแต่ภรรยาที่ออกงานการเมืองและสังคมแทน
โอกาสนี้ ทีมข่าว “ผู้จัดการออนไลน์” ขออาสานั่งคุยกับชายคนนี้เพื่อถามไถ่เขาในหลายคำถามที่หลายท่านอยากทราบในสถานการณ์การเมืองที่กำลังร้อนในขณะนี้
นายขวัญชัยได้เปิดประเด็นการสนทนาก่อนว่า ตั้งแต่ตนออกจากเรือนจำอุดรธานีมาก็ยุติบทบาททุกอย่าง สถานีวิทยุชุมชนตนก็ไม่จัดรายการ ต้องยอมรับว่ามันเปลืองตัวและเจ็บตัวมาโดยตลอด สุขภาพร่างกายตอนนี้ก็ไม่ค่อยดี เป็นเพราะผลการถูกลอบยิง สายตาตอนนี้พร่ามัวมองอะไรไม่ค่อยจะเห็น ไปไหนก็ต้องมีคนคอยประคับประคอง ทุกวันนี้เก็บตัวอยู่ที่บ้าน ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเหตุการณ์ต่างๆ ทางโทรทัศน์
ผู้สื่อข่าวถามต่อทันทีว่า วันที่ 14 ตุลาคมนี้กลุ่มคนเสื้อแดงในอุดรธานีจะพากันเดินทางไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ หรือไม่ นายขวัญชัยบอกว่า ประชาธิปไตยยังอยู่ในสายเลือด อุดมการณ์ยังชัดเจน การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยยังอยู่ในหัวใจคนเสื้อแดงอยู่ แต่การขับเคลื่อนมันไม่มีผู้นำ ผู้นำทีมมันน้อยลงเพราะความเดือดร้อน เพราะฝ่ายที่มีอำนาจจ้องจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้ โดยเฉพาะแกนนำ
ถามต่อว่า ส่วนตัวมองเรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนตอนนี้อย่างไรบ้าง นายขวัญชัยตอบว่า มองดูแล้วการเคลื่อนไหวมันไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนคนเสื้อแดง คือความทุ่มเทและเสียสละนั้นคนเสื้อแดงมีเต็มร้อย สังเกตได้จากการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้ง สมัยที่ตนนำมวลชนเคลื่อนไหวตอนนั้นต้องการรถ 20 คัน เราก็ได้ ต้องการคนจำนวนเท่าไหร่ก็หาได้ เพราะการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้งมันคือพลังที่ยิ่งใหญ่
ต่อข้อถามที่ว่าเป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มเยาวชนกลุ่มนี้ยังเป็นมือใหม่ นายขวัญชัยตอบว่า คิดว่าน่าจะใช่ แต่ต้องยอมรับว่าเขาได้บทเรียน เขาศึกษาจากกลุ่มคนเสื้อแดง ตอนแรกที่ออกมาอาจจะไม่ชอบใจคนเสื้อแดงเท่าไหร่ แต่พอเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ชุมนุมหลายๆ ครั้งก็เริ่มรู้แล้วว่าคนเสื้อแดงนั้นเสียสละขนาดไหน คนเสื้อแดงสู้ด้วยอุดมการณ์และความเสียสละไม่มีท่อน้ำเลี้ยง
อย่างที่เคยติดตามข่าวสารมาชมรมคนรักอุดรจะเคลื่อนไหวเราไปตั้งโต๊ะรับบริจาคที่ทุ่งศรีเมืองได้เงินบริจาค 7-8 แสนบาท มีแต่คนมาช่วย ระยะเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงชาวบ้านเอาเงินมาช่วยบริจาคคนละ 2,000-3,000 บาท คือความเสียสละของประชาชนคนอุดรที่ทำให้ทุกคนเห็นว่านี่คือเมืองหลวงของคนเสื้อแดงอย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่หาไม่ได้และจะไม่เกิดอีกแล้ว รับรองว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่มีเกิดขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองการชุมนุม 14 ตุลาคมที่จะถึงนี้อย่างไรบ้าง นายขวัญชัยบอกว่า ยังไม่เชื่อมั่นว่าจะจบลงในทางที่ดีนัก เพราะฝ่ายผู้มีอำนาจเขามีทั้งเงิน อำนาจ อาวุธ เพราะฉะนั้นใครที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรในทางตรงกันข้ามของฝ่ายผู้มีอำนาจมักจะถูกติดตามถูกรังแก ตนในฐานะที่เป็นแกนนำมาก่อนและบาดเจ็บมาเยอะ ติดคุกมาก็เยอะ เห็นสภาพความเป็นจริงก็รู้สึกสงสารเป็นห่วงลูกหลานเยาวชนที่กำลังออกมาต่อสู้มาเคลื่อนไหว
นายขวัญชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า ขอฝากไปยังกลุ่มเยาวชนมวลชนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ขณะนี้ ขอให้ใช้สติให้มาก สิ่งสำคัญที่สุดคือ อยากจาบจ้วงสถาบัน วันนี้เราต้องยอมรับว่าเราเป็นประชาชนคนไทย เราอยู่ในประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้นอย่าไปล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์
ย้อนกลับไปหลังออกจากเรือนจำ หลายคนคงจำได้ ก่อนที่จะยุติบทบาทตนเคยจัดตั้งเวทีชมรมคนรักอุดร ชื่อเวทีว่า “เวทีแดงรักเจ้า” ตอนนั้นตนออกตัวชัดเจนที่สุด นี่คือสิ่งที่เราต้องเทิดทูนสถาบันไว้ อย่าให้ใครมาโจมตีเราได้ เพราะจะเป็นจุดอ่อน
“ผมหวังว่านักศึกษาทุกคนจะละเว้นในสิ่งเหล่านี้ เราต้องยอมรับว่าเราอยู่ในประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะฉะนั้นเราอย่าไปก้าวล่วง ขอยืนยันว่าผมหยุดการเคลื่อนไหวทางการเมือง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับสื่อมวลชน”