เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคงมึนงงกับเป้าหมายและการลงทุนจัดการชุมนุม หรือ “จัดม็อบ” ของกลุ่มที่ใช้ชื่อ “กลุ่มปลดแอก” หรือในชื่อใหม่สำหรับการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 กันยายน ที่ผ่านมา ว่า “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” และแกนนำที่ออกหน้า เท่าที่เห็นก็มี นายอานนท์ นำภา มีอาชีพระบุว่า เป็นทนายความ นายภาณุพงศ์ จาดนอก ไม่ปรากฏอาชีพแน่ชัด ที่เหลือก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล โดยการชุมนุมวันดังกล่าว ก็ได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อช่วงสายๆ ของวันที่ 20 กันยายน หลังจากมีการยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ ผ่าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไปยังประธานองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
เพราะหากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ของการชุมนุมของกลุ่มดังกล่าวล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่พุ่งเป้าไปยัง “สถาบัน” เป็นหลัก โดยที่มีการพูดถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นการยื่นหนังสือไปถึงประธานองคมนตรี รวมไปถึงการ “ปักหมุดคณะราษฎรอันที่ 2” ที่สนามหลวง หรือคำพูดที่ ว่า “ประชาราษฎร์จงเจริญ” อะไรนั่น มันก็เหมือนเป็นการกระทำในเชิงสัญลักษณ์ ที่สื่อออกมาให้เห็นโดยตรง
ดังนั้น นาทีนี้หากบอกว่า การชุมนุมที่ว่านี้มันก็ไม่ต่างจากการวมตัวของกลุ่มที่ “ไม่เอาเจ้า” หรือเป็นพวกที่ได้รับการ “ฝังหัว” มาจาก “ไอดอล” ของพวกเขาที่เป็นผู้ต้องหาเกี่ยวกับ มาตรา 112 ที่กำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ เช่น นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ นายปวิณ ชัชวาลพงศ์พันธุ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ยังมีข้อสังเกตจากบรรดานักเคลื่อนไหวอาชีพมาก่อน ที่พอจับพิรุธหรือเห็นอาการที่ผิดสังเกตได้ไม่ยาก นั่นคือ เห็นมวลชนที่เข้าร่วมในการชุมนุมครั้งนี้ ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มีอายุเกินสามสิบปี ไปจนถึงผู้สูงวัย อีกทั้งเมื่อได้เห็นหน้าตา ท่าทาง ก็ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตา และที่สำคัญเป็นการรวมตัวเดินทางมาจากต่างจังหวัดที่พอมองออกว่าเป็นกลุ่มที่ “หัวคะแนนจัดมา” และอย่าได้แปลกใจที่ได้เห็นบรรดา ส.ส.ของพรรคฝ่ายค้านบางพรรค ไปตั้งโต๊ะใกล้ๆ กับเวทีผู้ชุมนุม โดยอ้างว่ามาสังเกตการณ์นั่นแหละ ซึ่งแน่นอนว่า งานนี้เป็นการ “รวมการเฉพาะกิจ” เหมือนกับว่าฝ่ายหนึ่งจัดมวลชน อีกฝ่ายส่ง “ท่อน้ำเลี้ยง” มาให้ เป็นลักษณะ “เหมาๆ”
เพราะเมื่อพิจารณาจากรูปแบบการจัดเวที แสงสีเสียง ที่มีลักษณะของการใช้ “มืออาชีพ” ไปบริหารจัดการกันเลยทีเดียว รวมไปถึงพิจารณาจากหน้าของบรรดา “การ์ด” ที่นำมาดูแลความปลอดภัยการชุมนุม ก็ล้วนคุ้นๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างเหมือนกับใช้ผู้มีประสบการณ์มาบริหารจัดการให้ และที่สำคัญมันต้อง “ใช้เงิน” จำนวนมาก ซึ่งกล้าปรามาสไว้เลยว่า คนอย่าง “เพนกวิน” หรือ “ไมค์ จาดนอก” อะไรนั่น ไม่มีทางจัดการแบบที่เห็นนี้ได้อย่างแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าแทบทุกคนก็มองออก
ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะเห็นทันทีว่าการชุมนุมครั้งนี้ กลับปรากฏว่า บรรดาเยาวชน นักศึกษา หรือนักเรียน ที่ก่อนหน้านี้มีการโปรโมตกันมานาน กลับเข้าร่วมน้อยมากจนแทบจะเรียกว่า “ถูกกลืน” ไปเลย จากเดิมที่มีการระบุว่า นี่คือ การชุมนุมของบรรดา “เยาวชน” นักเรียน นักศึกษา แต่กลายเป็นว่า เป็นม็อบของ “ผู้ใหญ่ผู้สูงวัย” ไปเสียฉิบ
ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละว่า หากพูดกันแบบตรงไปตรงมา ก็คือ เป็น “ม็อบคนเสื้อแดง” ในเวอร์ชันใหม่ ในแบบที่ว่านี่คือ “งานเหมา” แบบเฉพาะกิจ หรือเปล่า เพราะหากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวที่ผ่านมานานกว่า 5 ปี กลุ่มคนเสื้อแดงถือว่าแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง หลังจากพรรคเพื่อไทยหมดอำนาจ และล่าสุด ยังพ่ายแพ้ไม่อาจกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีก ที่สำคัญ “ท่อน้ำเลี้ยง” หยุดไหลมานานแล้วด้วย
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับมาพิจารณาถึงสาระของข้อเรียกร้องจากการชุมนุมที่ประกาศว่าเป็นการ “ชุมนุมใหญ่แบบเบิ้มๆ” แต่เมื่อพิจารณาจาก “ปริมาณ” และลักษณะของการเข้ามาของมวลชน ที่เป็นแบบ “รีบมารีบกลับ” แล้วนอกเหนือจากภาพที่ “ไม่สมราคาคุย” แล้ว ยัง “สร้างความสับสน มึนงง” ให้กับคนที่ติดตาม รวมไปถึงผู้ที่เข้าร่วมอย่างมาก
เพราะกลายเป็นว่าเนื้อหาสำหรับการชุมนุมเป็นเรื่องที่ต้องการ “กระแทก” ไปที่สถาบันฯ ซึ่งกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขขัดแย้งกับสังคม ขณะเดียวกัน ข้อเรียกร้องในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ที่เข้าใจว่าสมควรที่จะเป็นข้อเรียกร้องหลัก และมีน้ำหนักมากกว่า กลับถูกกลบไปไปแทบจะสิ้นเชิง ซึ่งหาก มองกันในเชิงลึกๆ แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ ที่จะทำให้ถูกมองว่านี่อาจเป็นม็อบที่สนองความต้องการ “นายทุน” อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือเปล่า ซึ่งหลายคนก็มอง “ขาด” แบบนั้นไปแล้ว
แม้ว่าแกนนำผู้ชุมนุมจะประกาศนัดชุมนุมอีกครั้ง ในวันที่ 24 กันยายน ที่สภา ในวันที่มีการประชุมพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะยุติการชุมนุมแบบ “เบิ้มๆ” เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมาก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นการประกาศชุมนุมใหญ่อีกแล้ว งานนี้ถึงได้บอกว่า เป็นการชุมนุม “ไร้แก่นสารและสับสนในข้อเรียกร้อง” ที่ไม่อาจสร้างแนวร่วมใหม่เกิดขึ้นได้เลย !!