xs
xsm
sm
md
lg

รอ “วันดี คืนดี”! “อัษฎางค์” ย้อนรอยน่าคิด “ทักษิณ” สู้กับสงครามไม่มีวันชนะ สิ่งที่ลืมบอก “ธนาธร-สมศักดิ์-ปวิน”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ จากเฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ของ นายอัษฎางค์ ยมนาค
“อัษฎางค์” นักประวัติศาสตร์ ย้อนรอยการต่อสู้ทางการเมืองของ “ทักษิณ” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนเหิมเกริม สู้กับสงครามที่ไม่มีวันชนะ ที่รู้แก่ใจ สิ่งที่ลืมบอก “ธนาธร-สมศักดิ์-ปวิน” ก่อนตาสว่าง รอ “วันดี คืนดี”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (28 ก.ย. 63) เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ของ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์หัวข้อ “คืนดี วันดี”

โดยระบุว่า “ภาพกราบเดียวสะท้านฟ้าของคุณหญิงพจมาน (ดามาพงศ์) ไม่ได้เป็นปฏิกิริยาแรกง้อขอคืนดีของทักษิณ ชินวัตร

ถ้าจำกันได้ ทักษิณ ชินวัตร มาขอคืนดีหลายครั้งแล้ว ทั้งประกาศข้ามฟ้ามากลางฝูงม็อบเสื้อแดงเพื่อขอให้ในหลวงช่วย เพื่อให้เกิดการล้างไพ่

จนถึงขั้นทำเป็นเรื่องเป็นราว โดย เฉลิม อยู่บำรุง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง จะยืนถวายฎีกาขอพระราชอภัยโทษ
หรือแม้แต่การพยายามเข้าพบป๋าเปรม

แต่ทุกครั้งเหมือนจบลงด้วยการไม่มี “วันดี” ที่จะรับ “คืนดี”

แล้วหลังจากนั้น ก็ดูเหมือนว่าทักษิณจะกริ้ว เพราะมีปฏิกิริยาตอบโต้ แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

คราวนี้ต้องรอดูกันว่าจะจบยังไง มีการขอ “คืนดี” มาหลายครั้งแล้ว รอแต่จะมี “วันดี” เมื่อไหร่เท่านั้น

ผมว่า คีย์เวิร์ดที่แท้จริง ที่จะทำให้เกิด “วันดี คืนดี” ได้นั้น คือ “ความจริงใจ”

ทักษิณ ชินวัตร ต้องมีความจริงใจ ที่ไม่ใช่การแสดงความจริง
“วันดี คืนดี” จึงจะเกิดขึ้นได้

ไม่ใช่เพียงทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวที่เฝ้ารอ...
“วันดี คืนดี”
แต่ประชาชนคนไทย ก็รอวันนั้น เหมือนกัน”

ภาพ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 53 ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” โฟน อิน เข้ามา จากแฟ้ม
ก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมง เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค โพสต์หัวข้อ “สงครามที่ไม่มีวันชนะ”

เนื้อหาระบุว่า “เรื่องราวที่ผมเขียน หรือเล่าลงใน fb หลายๆ เรื่อง พบว่า บางครั้งผู้อ่านส่วนใหญ่เข้าใจตรงกัน บางครั้งผู้อ่านส่วนใหญ่เข้าใจไม่ตรงกับที่ผมพยายามจะสื่อ

วันนี้ผมจะขออธิบายเพิ่มเติมจากเรื่องสามก๊กกับการเมืองไทย เพื่อจะบอกว่า

[1] ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น มีหน้าที่การงานมั่นคง มีกิจการมั่นคง มีพรรคการเมือง-มีรัฐบาล-มีฐานเสียง-มีพลังทางการเมือง มั่นคง จนไม่มีใครจะล้มได้ มักล้มลงด้วยตนเองเสมอ
[2] การเมืองในเมืองไทยที่วนลูปอยู่ที่เดิมมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะนักการเมืองไร้ความรู้ ไร้ความสามารถ แต่หลอกลวงประชาชน (ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง) ได้ตลอดมา

[3] จากข้อ 2 จึงทำให้ประชาชนเลือกได้แต่นักการเมืองที่เข้ามาสู่การเมืองเพื่อแสวงหาประโยชน์และอำนาจ และเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์แห่งการแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจ ก็ต้องมีการคอร์รัปชันโกงกินบ้านเมือง เพราะเงินคือปัจจัยหลักของอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง

[4] การเมืองในเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นการต่อสู้กันระหว่างนักการเมือง รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น ทหาร นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และชาติมหาอำนาจที่มักเข้ามาแทรกแซงกิจการในประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของประเทศตน

[5] เมื่อกลุ่มบุคคลในข้อ 4 รบกัน เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศไทย แล้วไม่บรรลุผล ก็พบว่า ก้างขวางคออันใหญ่สุด คือ สถาบันพระมหากษัตริย์
เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งแม้จะอยู่เหนือการเมือง ที่แปลว่า ไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่เหมือนชาติใดในโลก เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ

[6] เพราะฉะนั้น ถึงแม้กลุ่มบุคคลในข้อที่ 4 ที่ถึงแม้จะมีมายากลที่ทำให้คนบางคน หรือคนจำนวนมากคล้อยตาม และหลงเชื่อได้ แต่สุดท้ายกลุ่มบุคคลในข้อที่ 4 ที่คิดทำการใหญ่กว่าการกินอิฐหินดินทราย ก็มักสะดุดกับก้างขวางคออันใหญ่ ที่เรียกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์

จึงเกิดการร่วมมือกันเพื่อกำจัดก้างขวางคออันใหญ่นั้น ทำให้เกิดขบวนการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์

[7] แต่...สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติมานับร้อยนับพันปี

สาเหตุที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติได้นั้น ก็เพราะคุณูปการที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยทำเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา จนเป็นประจักษ์ในสายตาชาวไทยและชาวโลกมานานนับร้อยนับพันปี

[8] สรุปบทความเรื่องสามก๊กกับการเมืองไทยของผม จะบอกว่า ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมักสะดุดขาตัวเอง ผู้ที่ยิ่งใหญ่จนใครล้มไม่ได้ มักล้มลงด้วยตัวเอง

[9] คิดจะรบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ก็ไม่มีวันสำเร็จ

ไม่เชื่อไปถามคนที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ดูว่า “สงครามที่ไม่มีวันชนะ” เป็นอย่างไร

ผมไม่ได้บอกว่า ทักษิณ ชินวัตร ยอมแพ้ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้
แต่เขารู้ดีว่า “สงครามนี้ไม่มีวันชนะ”

ทักษิณอาจไม่ทันได้บอกกับ ธนาธร สมศักดิ์ ปวิน และพวก ถึงความจริงข้อนี้ที่เขารู้เป็นอย่างดี”

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย (วานนี้) เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค โพสต์หัวข้อ “ทฤษฎีสมคบคิด”

ที่น่าสนใจ คือ บางช่วงบางตอนที่ว่า

“ว่าด้วยเรื่องความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทักษิณชกข้ามรุ่น
............................................................................
มีคำถามว่า
เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลชินวัตร และพรรคเพื่อไทย?
คำตอบน่าจะเป็นว่า

ตลอด 10 กว่าปีที่ทักษิณต่อสู้มา ทั้งจัดหนัก จัดเบา เผาบ้านเผาเมือง จนส่งไม้ต่อสู่พรรคของคนรุ่นใหม่ ก็ไม่เคยสำเร็จ และไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จ

ทักษิณเป็นนักการเมือง และโดนการเมืองเล่นงาน เป็นหมองูที่ตายเพราะงู

การที่ประสบความสำเร็จทางการเมืองอย่างสูง ครองใจคนเกือบทั้งประเทศ นำมาซึ่งหายนะ เพราะเหลิงอํานาจ คิดว่าทำอะไรแล้วใครไม่รู้ทัน หรือถึงรู้ทันก็ไม่มีวันมาทำอะไรได้ เพราะว่าผลงานทางการเมือง และพรรคการเมืองของตนประสบความสำเร็จสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย....
............................................................................
ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เคยประกาศว่า จะเป็นรัฐบาลไปอีก 12 ปี แต่ยังไม่ถึงครึ่งทางก็แพ้ภัยตัวเอง

ผมขอย้ำว่า “ทักษิณไม่ได้แพ้ใคร แต่แพ้ภัยตัวตัวเอง”

แต่ทักษิณเข้าใจว่า ตนเองแพ้สถาบันพระมหากษัตริย์

ทั้งๆ ที่ เขารบอยู่กับการเมือง แต่คิดข้ามช็อตไปว่า ตนเองรบอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ที่อยู่เหนือการเมือง

เมื่อรบกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาสิบกว่าปี จึงเริ่มคิดได้ว่า รบจนตาย ก็ไม่มีวันชนะ
เพราะศัตรูตัวจริง ไม่ใช่สถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง แต่ทักษิณคือนักการเมืองที่รบกับการเมือง

คุณผู้อ่านเข้าใจใช่มั้ย
วันนี้ทักษิณตาสว่างแล้ว ทักษิณเข้าใจแล้วว่า การชกข้ามรุ่น ไม่มีวันชนะ
แต่ลูกสมุนรุ่นลูก ยังไม่เข้าใจ
............................................................................

ภาพ การชุมนุมของม็อบธรรมศาสตร์และการชุมนุม 19 ก.ย. จากแฟ้ม
ธนาธร เป็นเพื่อนกับพานทองแท้ และธนาธรเคยประกาศจะพาทักษิณกลับบ้าน ธนาธรจึงสร้างกองทัพสีส้มขึ้นมาเพื่อจะเอาทักษิณกลับบ้าน

วันที่ธนาธรโดนศาลตัดสินยุบพรรค เขาประกาศว่าจะลงถนน ไปต่อสู้บนถนน ซึ่งเป็นวิถีที่เขาและพรรคพวกถนัด ทำให้เราได้เห็นกองกำลังที่เขาปลุกปั้น ปลุกปั่นขึ้นมา ก่อม็อบบนท้องถนนตลอดมานับตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่โดนยุบ

และธนาธรกับพวกก็ทำแบบเดียวกันกับทักษิณ ที่ชกข้ามรุ่น
เพราะเข้าใจผิดว่า ศัตรูของตนเองคือสถาบันพระมหากษัตริย์

ทั้งๆ ที่ตนเอง และพรรคพวกคือนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ควรจะต่อสู้กับคนที่เล่นการเมืองด้วยกัน ไม่ใช่สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ที่ทรงอยู่เหนือการเมือง
............................................................................
หลังจากคิดจะทำสงครามกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาสิบกว่าปี วันนี้ทักษิณตาสว่างแล้วว่า รบไปยังไงก็ไม่มีวันชนะ...

ต้องรอดูว่า เมื่อไหร่ ธนาธรและพรรคพวกจะตาสว่างหรือไม่ ก็อาจจะรอจนถึงวันที่ไม่มีแผ่นดินสักสิบยี่สิบปีก่อน จึงจะเข้าใจ เหมือนอย่างที่ทักษิณเข้าใจ
............................................................................
อ่านมาจนจบแล้ว อย่าลืมว่า หัวข้อคือ ทฤษฎีสมคบคิด”

แน่นอน, สิ่งที่ “อัษฎางค์” วิเคราะห์ นับว่าน่าคิด และถ้าจะว่าไปแล้ว หลายคนก็วิเคราะห์ไม่ต่างกันมาก่อน เพียงแต่ตื้นลึกของข้อมูลเท่านั้นที่ต่างกัน ส่วนผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ก็ขอให้เป็นวิจารณญาณก็แล้วกัน

โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “ทักษิณ” และครอบครัวชินวัตร กำลังรอ “วันดี คืนดี” ซึ่งไม่แน่ชัดว่า แค่ “คืนดี” เท่านั้น หรือมากกว่านั้น อย่างที่หลายคนเริ่ม “มโน” ถึงขั้นให้กลับมาเป็น “นายกฯ” เพื่อลดปัญหาขัดแย้งทางการเมือง และฟื้นฟูเศรษฐกิจ เรื่องนี้ยังคงเป็นคำถามข้อใหญ่ว่าจริงหรือไม่ หรือแม้แต่ “คืนดี” ก็ยังคงต้องรอต่อไป...

กระนั้น ที่น่าวิเคราะห์ตามมาก็คือ ถ้าหากจะ “คืนดี” ได้ สิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลง เพื่อยืนหยัดที่จะไม่ร่วม “ปฏิรูปสถาบันฯ” ไม่ว่ากรณีใดๆ ใช่หรือไม่?

เพราะก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง เห็นด้วยที่จะให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ ร่วมกับพรรคก้าวไกล หรือแม้แต่การร่วมไปสังเกตการณ์ในการชุมนุมของม็อบธรรมศาสตร์และการชุมนุม เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ก็เช่นกัน

ยิ่งกว่านั้น ยังมีข่าวว่า ส.ส.เพื่อไทย ส่วนหนึ่ง นำคนเสื้อแดง เข้าร่วมชุมนุมดังกล่าวอย่างครึกโครมด้วย จนมีการวิเคราะห์ข้อมูลกันว่า ฐานมวลชนส่วนใหญ่ของ “ม็อบ” มาจากคนเสื้อแดง ซึ่ง ส.ส.เพื่อไทยให้การสนับสนุนเข้าร่วมนั่นเอง

นี่เองอาจเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย เป็นเบื้องต้น ที่ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ดามาพงศ์ ต้องเข้าไปดูแลด้วยตัวเอง และรักษาการหัวหน้าพรรค ก็ยอมรับออกมาแล้วว่า คุณหญิงอ้อ ก็มีคำแนะนำบ้าง ซึ่งนั่นอาจเป็นเรื่องนี้ก็เป็นได้

ส่วนหลังจากพรรคเพื่อไทยจัดทัพขึ้นมาใหม่ ภายใต้คุณหญิงอ้อแล้ว จังหวะก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้น นี่คือ สิ่งที่คนไทยจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเงื่อนไขสถานการณ์ และปัญหาทางการเมือง นับจากนี้ อะไรก็เกินขึ้นได้ทั้งนั้น และบางตัวแปรก็ยากคาดเดาได้อยู่แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น