“เป็นเพราะไวรัสโควิด-19 อันนี้ 100% แน่นอน” เสียงสะท้อนจากพ่อค้าแม่ค้าห้างดัง มาบุญครอง-สยาม-เซ็นทรัลเวิลด์-แพลตินั่ม-บิ๊กซี ราชดำริ ไร้ผู้คนเดินห้าง นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเกินครึ่ง รายได้ตกต่ำที่สุด ค่าเช่าหลักแสน แต่เหลือรายได้หลักร้อย กระทบหนักยิ่งกว่าม็อบ
ไร้ผู้คนเดินห้าง ไวรัสพ่นพิษ!
หลังจากมีกระแสข่าวพ่อค้าแม่ค้าห้างมาบุญครอง เดือดร้อนหนัก รวมตัวเดินประท้วงในห้างขอลดค่าเช่า 50% หลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำเอาลูกค้าค่อยๆ ลดลง ขายของไม่ได้
ทีมข่าว MGR Live จึงได้ลงพื้นที่ไปสำรวจบรรยากาศโดยรอบ จากการสังเกตพบว่า ผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยลดลงไปจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเข้าไปสอบถามพ่อค้าแม่ค้าหลายราย ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตั้งแต่มีไวรัสโควิด-19 ได้รับผลกระทบหนักมาก จากที่เคยขายได้หลักหมื่น ตอนนี้ลดฮวบลงเหลือเพียงแค่หลักร้อยหลักพันเท่านั้น บางรายถึงขั้นปิดกิจการหนี
มร-ธนรา ธัญวิเศษสุข แม่ค้าร้านขายอุปกรณ์โทรศัพท์ ห้างมาบุญครองที่ค้าขายมายาวนานถึง 17 ปี เป็นอีกหนึ่งร้านที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เปิดใจว่า ตั้งแต่มีไวรัส นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงไปเยอะมาก ค่าเช่าก็จำเป็นต้องค้าง
“ปกติมันก็ขายดี พออยู่ได้ แต่ช่วงนี้ขายไม่ถึงค่าเช่าหรอกค่ะ เราก็ยังต้องค้างเขาอยู่ ช่วงที่เป็นข่าวแรกๆ เหมือนเศรษฐกิจหยุดไปเลย ปกติเดือน ม.ค.-ก.พ. เป็นเดือนไฮซีซัน ก็คือขายได้ แต่ไม่ใช่ว่าขายดีนะ แต่ขายได้
ได้รับผลกระทบแน่นอน มันก็เงียบลงเยอะ แต่ว่าก็ยังมีนักท่องเที่ยวมานะคะ ไม่ใช่ไม่มีเลย แต่น้อยลงไปเยอะมาก อาจจะหายไปประมาณ 70-80%
แม่ค้ารายนี้ยังเล่าอีกว่า ส่วนใหญ่ห้างนี้ลูกค้าจะเป็นชาวอาหรับ ยุโรป ซึ่งถือว่าลดลงเยอะมาก ส่วนลูกค้าจีนจากที่ไม่ค่อยเยอะ ยิ่งลดน้อยลงไปอีก แทบจะไม่มีให้เห็น
“เรื่องค่าเช่าอยากให้ลดแน่นอนอยู่แล้ว มันไม่ได้ค่าเช่าจริงๆ มั่นใจว่าพ่อค้าแม่ค้าหลายคนขายไม่ถึงค่าเช่า ทุกคนอาจจะบอกว่ามีค้างค่าเช่าบ้าง จ่ายช้าบ้าง
ปีนี้คนปิดไปเยอะ คนเลิกเยอะ โดนส่วนหนึ่งก็เพราะว่าโรค และนโยบายของห้าง ห้างมาบุญครองก็เริ่มปรับปรุง 3-4 ปี ก็ปรับปรุงมาเรื่อยๆ การปรับปรุงมันน่าจะดีขึ้น แต่ว่ามันค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ พี่คิดว่านโยบายของห้างก็มีส่วนสำคัญในการพาลูกค้าเข้ามาเดินห้าง”
ไม่เพียงเท่านี้ ยังได้ไปเดินสำรวจห้างชื่อดังเพิ่มเติมอย่าง สยาม เซ็นทรัลเวิลด์ แพลตินั่ม บิ๊กซี สาขาราชดำริ พบว่า คนที่มาเดินจับจ่ายใช้สอยก็ลดลงไปเยอะเช่นกัน โดยเฉพาะบิ๊กซี สาขาราชดำริ ที่เป็นอีกหนึ่งแหล่งชอปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน แต่กลับซบเซาลงมาก เหตุเพราะไวรัสพ่นพิษ
ทั้งนี้ ทีมข่าวยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า อาจจะไม่ใช่ช่วงวันหยุดจึงไม่ค่อยเห็นผู้คนที่หนาตาเหมือนเมื่อก่อน แต่เมื่อสอบถามกับคนขายของในห้างหลายรายกลับพบว่า ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อก่อนจะวันหยุด หรือวันปกติ คนก็จะมาเยอะอยู่แล้ว
“เป็นเพราะไวรัสโควิด-19 อันนี้เลย 100% แน่นอนเลย เพราะคนจีนก็ไม่กล้าเข้ามา เป็นหมดทุกร้านเลย เรามี 2 ร้านนะ มีร้านนี้แล้วก็ข้างในด้วย ข้างในได้วันละ 300 บาทจนปิดร้าน เจ้านายมี 4 สาขา บางร้านไม่เปิดบิลเลย”
อีกหนึ่งเสียงสะท้อนของ บูม-ธีระ ชาบัว วัย 33 ปี พนักงานขายร้าน “ล้านช้าง” ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาราชดำริ ซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้าของฝากลายไทย เล่าว่า ขายอยู่ประจำร้านนี้มา 7-8 ปี เมื่อก่อนขายได้หลักหมื่น แต่ตอนนี้ขายได้เพียงหลักร้อยเท่านั้น
“บิ๊กซีคือหนึ่งคนจีนมาเยอะสุด ห้างนี้คนจีน เวียดนาม แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ดูสิไม่มี เงียบมากคิดดูว่าขายได้วันละพันกว่าบาท ถ้าโรคไม่หายไปก็ตาย เจ้านายตาย เราก็ตายด้วย ตายกันหมดทั้งร้าน 5 ชั่วโมงไม่ได้ขายเลย เงียบจริงๆ กระทบเยอะ แย่กันหมด นานแล้วนะ ตั้งแต่โรคมา เดือนที่แล้วขายดีนะ ทั้งเดือน ก.พ.ไม่ได้เลย
แต่ก่อนวันหนึ่งก็ขายได้สองหมื่นสามหมื่น หมื่นห้า เดี๋ยวนี้เหรอ สองพัน พันหก ตกต่ำมาก จีนเยอะสุด 80% ร้านเราเน้นคนจีนซื้อ ก็เป็นของฝากแบบไทยๆ คนไทยมีแค่ 10% ส่วนมากต่างชาติ
ถ้าไม่มีโรคหลักหมื่นขึ้น เต็มที่สองสามหมื่นวันๆ เช้ามาเอาแล้วหกเจ็ดพันแล้ว แต่เนี่ยพันกว่าบาทตั้งแต่เปิดร้านมา
เงียบมาก แย่มาก โรคนี้ร้ายกาจมาก ตอนก่อม็อบยังขายดี มีม็อบยังไม่หนักเท่าโรค ม็อบเสื้อแดง ม็อบฆ่ากัน มีระเบิดยังขายดีมาก แต่พอโรคนี้มาจบทุกอย่าง แรงกว่าม็อบนะ ที่นี่แหล่งรวมก่อม็อบนะ”
อีกหนึ่งร้านขายขนมของฝากชื่อดังในบิ๊กซี ราชดำริ ที่เมื่อก่อนเรียกได้ว่าขายดีจนเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะทุเรียนอบแห้งที่นักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ชอบมาซื้อเหมาเพื่อไปเป็นของฝาก
ด้าน เอ-วณัฏฐิตรา จังสิริวัฒนา วัย 32 ปี ที่เป็นผู้จัดการร้านมานาน 7-8 ปี เล่าว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนเวียดนาม จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เมื่อก่อนยอมรับว่าขายของจนแทบไม่มีเวลากินข้าว เมื่อเทียบกับตอนนี้สามารถนั่งหลับได้สบาย เพราะลูกค้าลดลงไปถึง 80% ตั้งแต่มีข่าวเรื่องไวรัส
“ได้รับผลกระทบนานแล้ว ตั้งแต่มีไวรัสเนี่ยแหละ เศรษฐกิจโลกก็มีกระทบบ้างนะ แต่มันก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่ ลูกค้าก็ยังมีเข้ามา ยังมีออเดอร์บ้าง แต่อันนี้ไม่เลยนะ เหมือนเขากลัวหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เมื่อก่อนดีกว่านี้ คนจีนชอบมาเหมาเยอะ ไม่มีเลย ตอนนี้แค่เชียร์ให้ลูกค้าซื้อของยังยากเลย
จากเมื่อก่อนแทบจะไม่ได้นั่ง กินข้าวแทบจะไม่มีเวลากินเลย แต่ตอนนี้คือแบบ ทำอะไรก็ได้ นอนได้ หลับได้ เงียบมาก
ก็มีถามแม่ค้าร้านอื่นก็บอกว่าเงียบ บางคนยังไม่ได้เปิดบิลเลย เงียบมาก ตอนที่ยังไม่มีไวรัส คนก็พลุกพล่านเยอะกว่านี้”
รายได้หลักหมื่น เหลือหลักร้อย
เช่นเดียวกับ อ๋อย-วราภรณ์ ขันทอง วัย 60 ปี แม่ค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่น สยามเซ็นเตอร์วัน ที่ขายมาตั้งแต่ปี 57
เปิดใจถึงผลกระทบในครั้งนี้อีกว่า ไม่ใช่แค่ไวรัสเท่านั้นที่ทำให้ค้าขายไม่ดี
“ก่อนหน้ามันก็ยังเงียบ แต่มันก็ยังดีกว่า เดือนนี้มันแย่มากเลย คิดว่าหลายๆ อย่างรวมกัน ไวรัสก็มีส่วนพ่วงๆ กันไป พอเจอไม่มีลูกค้าเลย ก็ได้รับผลกระทบหนัก ไม่มีต่างชาติ น้อยลงเยอะมาก แล้วอีกอย่างหนึ่งคนไทยเคยมาเดินบางทีก็ไม่อยากมา ก็น้อยลง เขาคงกลัวด้วยแหละ
นักท่องเที่ยวจีน ก่อนหน้านี้ก็มีเยอะอยู่ แต่หลังๆ ก็ไม่ค่อยมีเดิน น้อยมาก ไม่มีลูกค้าเดินเลย แล้วจะไปหาลูกค้าที่ไหนมาซื้อ เงียบเลย เชื่อไหมดือนนี้ไม่เปิดบิลมา 4-5 วัน เมื่อก่อนถึงจะเงียบแต่เราก็ได้เปิดบิล แต่เดือนนี้ไม่ได้เปิดบิลหลายวันเลย แล้วขายวันหนึ่งก็ได้ไม่กี่ตังค์ บางวันก็ได้เป็นร้อย บางวันก็ได้เป็นพัน จากเมื่อก่อนบางทีมันก็อาจจะเป็นหมื่น เดี๋ยวนี้เหลือบางวันขายได้ 600-800 บาท”
ขณะที่ เจี๊ยบ-พันมาลัย พวงเกตุ วัย 47 ปี ร้านเสื้อมัดย้อม ห้างแพลตินั่ม เล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า ถ้าไม่ไหวก็ต้องเก็บของกลับบ้าน เพราะเปิดไปตอนนี้ก็ไม่คุ้มค่าเช่า
"กระทบทุกอย่างบอกตรงๆ เลย ค่าใช้จ่ายเรามันเยอะเนอะ แล้วค่าเช่าเราก็แพง ขายไม่ได้ วันละตัวสองตัว ไม่ถึงพัน จะอยู่ได้ยังไง ที่จริงแพลตินั่มมันกระทบมานานแล้วนะ แต่ว่ามันก็ยังถูๆ ไถๆ ได้ แต่พอมาเจอพวกนี้ ไหนจะฝุ่น ไวรัส ผิดกันเยอะเลย เมื่อก่อนหลักหมื่น ตอนนี้หลักพันยังไม่ถึงเลย คือเหมือนเรามารอนั่งเวลาปิด เวลาเปิดแค่นั้น
มันไม่คุ้มค่าเช่า เขาถึงประท้วงกันไง ถ้ามันไม่ไหว เราก็ถอยแล้วนะ เก็บของกลับ เวลามันดีขึ้นค่อยมาหาที่ใหม่ เราเช่ามานานแล้วตั้งแต่ห้างฯ เปิด ปีนี้หนักสุดๆ
จากปกติก็ขายได้ 20,000-30,000 ขึ้นไป มันก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้หลักพันยังไม่ถึงเลย ก่อนหน้านั้นมันก็มี แต่มันก็ยังไม่ถึงขนาดนี้ พอมา 1 ก.พ.คือแย่ลงหมดเลย
เยอะที่สุดคือคนจีน เรามันมีแต่ลูกค้าประจำ จีนก็มี อเมริกาก็มี ของพวกนี้คนไทยจะไม่ค่อยนั่นหรอก มีแต่ต่างชาติทั้งนั้น แต่คือช่วงนี้มันเงียบมาก ไวรัสมันก็มีส่วนรวมหลายๆ อย่าง หนักเลยสุดๆ
อีกหนึ่งเสียงจากแม่ค้าขายหมวก ห้างแพลตินั่ม อย่าง พร-อำพร บุญตัน วัย 49 ปี ที่ขายมาเกือบ 10 ปี เล่าว่า ห้างแพลตินั่มซบเซามาหลายปีแล้ว แต่ยิ่งเจอไวรัสยิ่งกระทบหนัก ค่าเช่าหลักแสน แต่รายได้เหลือหลักร้อย
“กระทบอยู่เนอะ มันก็เหมือนกันหมด มันเงียบมากเลย เหมือนที่เห็นเนี่ยแหละ ไม่มีคนเดิน มันหลายอย่างเนอะ ทั้งเศรษฐกิจด้วย ทั้งไวรัสด้วยนั่นแหละรวมๆ กัน ก็เลยเป็นแบบนี้
เงียบมาก ฟังเพลงก็แล้ว กินข้าวหลายรอบแล้ว อ้วนเอาๆ เมื่อก่อนขายได้หลักหมื่น ตอนนี้ก็หลักพัน มันก็ไม่ไหว ค่าเช่ามันก็หลักแสน มันก็สู้ต่อเผื่อมันดีขึ้นไง ตั้งแต่ปีที่แล้วมั้งมันไม่ดีขึ้น หลายปีแล้ว ยิ่งไวรัสยิ่งหนักเข้าไปอีก
ส่วนมากมันก็ไม่ใช่คนจีนหรอก มันก็มีต่างชาตินั่นแหละ แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่เข้ามาไง ตอนนี้ไม่ถึงครึ่ง เกินครึ่ง ลดลงเยอะมาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นม็อบเรายังพอได้ขาย ก็อยากให้มันดีขึ้นเนอะ ดีเหมือนเมื่อก่อน”
นอกจากสำรวจในห้างแล้ว ยังได้สำรวจไปยังรอบนอกบริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยอดนิยมที่เป็นจุดรวมผู้คนเป็นจำนวนมากที่มาแห่ไหว้ขอพร ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ทางด้าน แอส-พิพัฒน์ นิยมไทย วัย 30 ปี แม่ค้าขายพวงมาลัย เครื่องไหว้ หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ค้าขายมานานกว่า 10 ปี เล่าว่า ยังดีที่มีคนไทยมาไหว้เป็นปกติ แต่คนจีนน้อยลงมา ส่วนเรื่องค่าเช่าไม่ได้รับผลกระทบ
“คนไทยไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่คนจีนให้เต็ม 10 นะ เหลือ 2 เอง ให้เหลือ 10% ที่จริงคนไทยกับคนจีน ปริมาณที่มาไหว้ครึ่งต่อครึ่งเลยนะ แต่ตอนนี้คนจีนเหลือ 10% วันปกติก็เป็นแบบนี้ ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันไหว้ก็โอเคเหลือแต่คนไทยอย่างเดียวเลย จีนก็จะน้อยมาก
ต่างประเทศส่วนใหญ่คนที่จะมาไหว้ก็จะเป็นคนสิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น รายได้ประมาณหลักหมื่นก็ลดลงไปเหลือประมาณ 5,000-7,000 บาท แต่ก็ลดลงแน่ๆ ค่าเช่าก็ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ ก็ยังดีที่มีคนไทยมาไหว้อยู่ปกติ ก็แค่ไม่มีคนจีนแค่นั้นเอง
ก็ตั้งแต่ไวรัสเริ่มเห็นได้ชัดเลยว่าคนจีนไม่มีเลย เกือบ 10 ปีที่ขายมาครั้งนี้เห็นได้เลยว่าคนจีนไม่มาเลย ต่างชาติไม่มาเลย”
แม่ค้าขายพวงมาลัย เครื่องไหว้ อีกหนึ่งราย ปุ๋ย-ฤดีวรรณ ทรัพย์จูน 32 ปี ที่ขายมานานตั้งแต่รุ่นแม่มากว่า 50 ปี แต่ตัวเองนั้นเข้ามารับช่วงต่อได้ประมาณ 10 ปีแล้ว ยอมรับอีกเช่นเดียวกันว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากไวรัส
“โดนเยอะ เราโดนโดยตรงเลย เพราะว่าตรงนี้หลักๆ คือคนจีน ที่เขานับถือ และเขาไหว้กัน เป็นต่างชาติจะไหว้กันเยอะ จีนเป็นหลักเลย ก็คือมีโรคอันนี้เข้ามา ผลกระทบโดยตรง ไวรัสด้วย เศรษฐกิจด้วย อะไรด้วย หลายๆ อย่าง
ฝุ่นไม่เกี่ยวหรอก โดยตรงตอนนี้คนไม่ได้กลัวฝุ่น มันกลัวไวรัส แล้วก็คือเศรษฐกิจมันแย่ๆ เป็นหลักเลย ปัจจัยสำคัญ คนไทยก็ลดลงเยอะ เพราะว่าการจับจ่ายใช้สอยประหยัดได้ ก็ประหยัด
ก็คือ 100% มีแน่ 90% มองไปในศาลสิ แทบไม่มีคนเลย ผลกระทบทั่วกรุงเทพฯ แทบจะทุกที่ ไม่ว่าเป็นแม่ค้า บางทีเราไปไหน แม่ค้าด้วยกัน เราถามทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด โดนผลกระทบเหมือนกันหมด
อย่างแต่ก่อนขายได้ เปรียบเทียบพันนิดๆ เดี๋ยวนี้ก็ขายได้ร้อย สองร้อย ดอกไม้บางทีเหลือ คือทิ้ง ทำวันต่อวัน คือพอขายไม่ได้ก็ต้องทิ้ง แต่เราก็ต้องหาทุนมาลงใหม่ เพราะว่าเราขายอยู่อย่างนี้ ถ้าเราหยุดไป เหมือนกับมันไม่ได้อะไรเลย”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **