ข่าวปนคน คนปนข่าว
**หญิงอ้อเอฟเฟกต์!! ฉากปรากฏการณ์ “พจมาน” อดีตภริยาทักษิณ ทำเอาสะเทือนไปทั่ว ทั้ง “เพื่อไทย” ที่เข้าโหมดเซตซีโร ส่วน “ม็อบ” ก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก จะบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ “ชักฟืนออกจากไฟ” ก็คงไม่ผิดนัก ส่วน “สายมโน” ลุ้น “รัฐบาลแห่งชาติ” ร้องเพลงรอไปก่อน
เรียกว่าสร้างอิมแพ็กทางการเมืองได้เลย กับการปรากฏกายอีกครั้งของ “นายหญิงใหญ่” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏกายในห้วงเวลา “ได้-เสีย” ที่อุณหภูมิการเมืองกำลังทะยานสู่จุดเดือด จากทั้งม็อบข้างถนน จากทั้งการเมืองในสภา ที่กำลังโรมรันพันตูกับเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560
ครั้นจะมองผิวเผินว่า ไม่มีนัยใดๆ คงไม่ได้
อิมแพ็กที่จับต้องได้คงเป็น “ค่ายเพื่อไทย” ที่เรียกว่า แตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อแกนนำระดับหัวแถวในปีก “เจ้าแม่นครบาล” ทยอยไขก๊อกพ้นตำแหน่งบริหาร-เก้าอี้สำคัญภายในพรรค ... นำทีมโดย “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่วันนี้กลายเป็น อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยไปแล้ว
ขณะที่บรรดาลูกหาบใน “ก๊วน กทม.-ทีมยุทธศาสตร์” ต่างทยอยไขก๊อกตาม “เจ๊หน่อย” เป็นแถว ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยยุ” จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. ลูกหม้อในแก๊งเด็กเจ๊ หรือทีมมันสมอง “โภคิน พลกุล-พงศ์เทพ เทพกาญจนา”
หรือรายของ “เสี่ยป๊อบ” น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ที่ร่อนใบลาจากเลขาธิการพรรคไม่ทัน แต่ก็โพสต์ซึ้ง บอกว่า “ใจผมออกตามพี่หน่อยไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วครับ”
ที่สุดหัวหน้าพรรค “เสี่ยพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ที่บัดนี้กลายเป็นอดีต ต้องถอดสลักเพื่อเปิดทางให้ “เซตซีโร” เลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทั้งกระบิ
ขณะเดียวกัน “หญิงอ้อเอฟเฟกต์” ก็กระเทือนไปถึงฟากฝั่ง “ม็อบปลดแอก-ม็อบเพนกวิน” อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เหตุเพราะ “สายมโน” ตีความกันไปไกล ถึงว่าประเทศไทยอาจจะได้ “รัฐบาลแห่งชาติ” กันในเร็วๆ นี้
การคัมแบ็กมาอยู่กลางสปอตไลต์ ของ “หญิงอ้อ” อดีตภรรยาสุดที่รักของ “นายใหญ่” ก็ทำเอา “ม็อบไต่เพดาน” ที่กำลังไล่กดดันรัฐบาล จุดพลุข้อเรียกร้องหวือหวา อย่างเมามัน มีอันต้อง “ชะงัก” หันมามองหน้ากันเอง เลิ่กลั่กว่า “เกิดอะไรขึ้น” เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในความจริง การผ่าตัดพรรคเพื่อไทยครั้งใหญ่นี้ เดิมทีจะมีการเปรับปลี่ยนกันตั้งแต่เมื่อครั้งประชุมใหญ่ ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.ค. 63 ทว่าติดเรื่องตำแหน่งสำคัญของ “เฮียพงษ์” ที่สวมหมวก “ผู้นำฝ่ายค้านในสภา” อยู่อีกใบ จึงยื้อกันไปก่อน
จนมาถึงช่วงปิดสมัยประชุมนี้ พอดิบพอดีกับที่ “ทีมเจ๊” ไส่เกียร์ถอยจาก “ความไม่สบายใจบางประการ” ในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน พรรคเพื่อไทย ก็เลยได้ทีเข้าโหมด “เซตซีโร” ปรับทัพกันใหม่
แน่นอนว่า หัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่ติดล็อก ว่าต้องเป็น ส.ส.เพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภา ย่อมมีนัยกับการขับเคลื่อนการเมืองของ“ค่ายเพื่อไทย”
ในการที่จะประเมินว่าจะยังอยู่เป็น “เสาหลัก” เกมการเมือง “ในระบบ” หรือไปเป็น “ลูกไล่” ให้กับ “พรรคข้างบ้าน” ที่พยายามปั่นกระแส“ข้างถนน”
มีการปล่อยข่าว โยนหินถามทางกันเพียบ โดยเฉพาะ “แก๊ง ส.ส.อีสาน” ที่มาตามนัด รีบออกมาเขย่า โยนชื่อบรรดา ส.ส.ที่มีความอาวุโสมากดดัน โดยเฉพาะ “สุทิน คลังแสง” ส.ส.มหาสารคาม ที่มีการปล่อยข่าวโยนหินถามทางว่าเหมาะควรกับเก้าอี้ “ผู้นำพรรค”
ทาง “ครูสุทิน” เองก็ “ไม่มีเหนียม” จัดแจงแชร์ข่าวคนในพรรคผลักดันให้เป็นหัวหน้าพรรคในเฟซบุ๊กตัวเอง แถมหล่นคำสัมภาษณ์ ก็ไม่มีวรรคตอนไหนที่จะ “ปฏิเสธ” ตามธรรมเนียม
อาจจะเพราะช่วงที่ผ่านมาได้รับการโปรโมต ให้เป็นประธานวิปรัฐบาล ได้อภิปรายปิดบ่อยๆ เลยอาจหลงตัวว่า วันนี้เป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ในความเป็นจริง สาเหตุที่ได้ขึ้นวอ ก็เพราะภายในพรรคขาดแคลนมืออภิปรายเก่งๆ เลยโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางพวก “ส.ส.รุกกี้” เท่านั้น
ทั้งที่ความเป็นจริงว่ากันด้วยชื่อชั้น พรรษา โปรไฟล์ทางการเมือง “ชั้นยังไม่ถึง” เมื่อเทียบกับบรรดาหัวๆ ในพรรค
ไม่ใช่แค่ “สุทิน” แต่ ส.ส.อีสาน ที่กำลังทำตัวเป็นปลากระดี่ได้นำ ก็ส่อแห้วกันหมด สุดท้ายทำได้แค่ร้องแรกแหกกระเชอ ตีรวนกันไป อาศัยคนเยอะเสียงดัง
แต่กี่ครั้งกี่หนที่ไม่เคยได้อยู่ในสายตา หรือแม้แต่หางตา “นายใหญ่-นายหญิง”
ดูแล้ว “เสี่ยพงษ์” ที่สะสมบารมีเก่าเก็บ คอนเนกชันกว้างขวาง น่าจะคัมแบ็กเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง เพราะถ้านับๆ กันดู ดีกรีเหนือกว่าทุกคน เป็นรัฐมนตรีมาแล้วไม่รู้กี่สมัย ไม่รู้กี่กระทรวง แถมมีบุคลิกประนีประนอม พูดคุยได้กับทุกฝ่าย ที่กำลังเป็น “สเปกสำคัญ” ท่ามกลางกระแสข่าวมโน “รัฐบาลแห่งชาติ”
ส่วนตัว “แม่บ้าน” เลขาธิการพรรค น่าจะไม่ได้เป็นสมบัติของก๊วน กทม.แล้ว อาจจะเจียดไปให้กลุ่มอีสาน ตามคิวที่มีข่าว “เสี่ยโจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ที่ชื่อแรงกว่าเพื่อน ไหนยังจะมีคอนเนกชันกับนายทุนใหญ่ด้านพลังงานของประเทศ สามารถทำหน้าที่เป็นมือประสานได้อยู่
แต่ขึ้นอยู่กับว่า “เสี่ยโจ้” จะเอาหรือไม่ หากไม่อยากรับภาระ หรือมารองรับแรงกระแทกจากลูกพรรค ก็อาจจะโยนไปให้ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ส.ส.นครราชสีมา คู่ซี้ “เสี่ยโจ้” ที่พอมีดีกรีเป็นถึง อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้ว
ส่วนที่ว่า “หญิงอ้อ” จะโดดลงมาคุมพรรคเองเบ็ดเสร็จ บอกเลยว่า “ยาก” อีกทั้งไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าให้ “เปลืองตัว” ก็กุมอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว
ขณะที่ “ก๊วนเจ๊” น่าจะปลีกตัวออกไป ทำสนาม กทม. อย่างเดียว หลังปี่กลองเลือกตั้งท้องถิ่นดังขึ้น อาจจะไปทุ่มเทอยู่กับสนามเมืองหลวงเต็มตัว อย่างวันก่อน ก็เพิ่งจะลงไปตรวจไฟไหม้ในย่านเมืองกรุง ทำคะแนนกันแต่หัววัน และที่ต้องจับตาต่อไป คือ จะลงเองหรือส่งเด็กๆ ในคาถาไปประกวด
เอาว่า สายมโน “รัฐบาลแห่งชาติ” ยังทำได้แค่มโน เพราะไทม์มิ่งวันนี้ ยังไม่ได้ และยังไม่เอื้อ ยกเว้นเดือน ต.ค.นี้ ที่มีวันสัญลักษณ์มากมาย การเมืองบนถนนจะร้อนแรงและล่อแหลมมากแค่ไหน
ถ้าขัดแย้งจนเกิดโกลาหล สูตร “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่เป็นเฟส 2 ของยุทธการ “ชักฟืนออกจากกองไฟ” ก็ยังพอพูดถึงได้ มีความเป็นไปได้ขึ้นมาหน่อย
แต่ถ้ายังเป็นม็อบกันแบบ “มุ้งมิ้ง” หรือเร้าแรงๆ “ปีนบันได ไต่เพดาน” ที่ทำเอาบรรดา “แรวร่วม” เบือนหน้าหน้า อย่างที่เป็นอยู่ ก็เข้าทางรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างที่เป็นอยู่
หากเป็นดังว่า “การ์ดรัฐบาลแห่งชาติ” ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องงัดออกมาใช้ พอเปิดสมัยประชุมสภา 1 พ.ย. ทุกอย่างก็กลับจากถนน ไปสู่รัฐสภาเหมือนเดิม ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น.
** ความจริงอีกด้านจาก “ซูเปอร์โพล” คนไทยกว่าร้อยละ 70 ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญ จะแก้หรือไม่แก้ แล้วแต่กระแสพาไป เชื่อมีต่างชาติเข้าแทรกแซง
ถ้าจะวัดกันตามกระแส ทั้งในโซเชียลมีเดีย และในโลกความจริง ก็ต้องบอกว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น คงยากที่จะมีใครมาทัดทานได้ ถึงแม้ “ก๊วนลุงตู่” และ ส.ว. จะดึงเกมด้วยการตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษา 6 ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเวลา 1 เดือน แล้วค่อยเอาเข้าสู่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาใหม่ ตอนสมัยประชุมหน้า ก็คงยื้อเวลาได้ระยะหนึ่งเท่านั้น ส่วนจะแก้รายมาตรา หรือตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างใหม่ ก็ต้องติดตามดูกันอีกที
กระนั้นก็ดี ก็ยังมีคำถามอยู่กระแสเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดังเซ็งแซ่ไปทั่วประเทศในเวลานี้นั้น มันมาจากพื้นฐานอะไรกันแน่ ...
“ซูเปอร์โพล” โดย “ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา” ก็เลยได้ทำการสำรวจภาคสนามช่วงระหว่างวันที่ 21-26 ก.ย.ที่ผ่านมา และนำมาเปิดเผยต่อสื่อเมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) ก็ได้ผลสรุปออกมาชนิดที่ทำเอาหลายคนถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน... เห็นเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญกันทั้งประเทศ นึกว่าทุกคนจะเข้าใจเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ทะลุปรุโปร่งทุกรูขุมขน จนรู้จุดเด่น เห็นจุดโหว่ตรงไหนที่ต้องแก้ไข แต่เอาเข้าจริง เมื่อทีมสำรวจของซูเปอร์โพล ถามว่า ใครเคยอ่านรัฐธรรมนูญมาบ้าง ปรากฏว่า คนส่วนใหญ่ “ไม่เคยอ่าน” รัฐธรรมนูญเลย แยกเป็น รัฐธรรมนูญปี 2540 คนร้อยละ 81.5 บอกว่าไม่เคยอ่านเลย ร้อยละ 2.5 เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 16.0 เคยอ่านทั้งฉบับ ส่วนรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำลังจะถูกแก้ไขในเร็วๆนี้ ปรากฏว่าผู้คนร้อยละ 71.7 บอกว่า “ไม่เคยอ่านเลย” ร้อยละ 2.1 เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 26.2 เคยอ่านทั้งฉบับ...
และเมื่อถามเจาะในกลุ่มคนที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ยิ่งน่าตกใจเพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 85.3 บอกว่า อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะ “ฟังคนอื่นเขาว่ามา” มีเพียงร้อยละ 14.7 ที่บอกว่า อยากแก้หลังจากอ่านด้วยตนเองอย่างละเอียด ครบถ้วนทุกมาตรา ...และที่น่าพิจารณาก็คือ ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 75.1 ระบุว่า “มีต่างชาติแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศไทย” เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การชุมนุมม็อบต่างๆ ในขณะที่ ร้อยละ 24.9 ระบุ ไม่มี
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของ “ซูเปอร์โพล” รอบนี้ ยังพบว่าสิ่งที่คนไทยเห็นพ้องต้องกัน ไม่ว่าจะเคยอ่านหรือไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญ ก็คือ การยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ เห็นได้จากผู้ตอบแบบสำรวจเกือบทั้งหมด หรือ ร้อยละ 95.6 บอกว่าถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แก้ได้บางมาตรา แต่ ห้ามแตะต้องล่วงละเมิด หมวด 1 และ 2 ที่เกี่ยวกับ “พระมหากษัตริย์” เด็ดขาด มีเพียงร้อยละ 4.4 ที่ระบุว่า ให้แก้ไขได้...
เมื่อผลสำรวจออกมาแบบนี้ ผอ.ซูเปอร์โพล จึงมีความเห็นทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่มีความสุข เมื่อทุกคนสำนึกรู้คุณแผ่นดินและสถาบันหลักของชาติ โดยการเมืองเป็นเรื่องของการเมืองอย่างแท้จริง “#ใครไม่รักแต่อย่าทำลาย” เพราะประเทศไทยจำเป็นต้องมีเสาหลักของชาติ... แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกภาพหนึ่ง คือ บ้านเมืองวุ่นวาย เสาหลักของชาติถูกสั่นคลอน ไร้ระเบียบ ไม่มีใครคุมใครได้ เพราะปล่อยให้มีการคุกคามสถาบันหลักของชาติต่อเนื่อง จนเกิดการเลียนแบบอย่างกว้างขวาง บ้านเมืองมีแต่ซากปรักหักพัง และการสูญเสีย จากนั้นประเทศมหาอำนาจจะอ้างความชอบธรรมเข้ามาจัดระเบียบประเทศไทยใหม่ แต่พวกเขามักจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ชาติไทยออกไปด้วย...
เชื่อว่า คนไทยทุกคนต้องอยากจะเลือกแนวทางแรก คือ การรักษาเสาหลักของชาติเอาไว้อย่างแน่นอน แต่จะรักษาเสาหลักของชาติไว้ด้วยวิธีการไหนนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้อง ปุจฉา-วิสัชนา กันต่อไป