“ซูเปอร์โพล”เผยผลสำรวจคนไทยร้อยละ 71.7 ไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญปี 2560 ขณะที่ร้อยละ 85.3 บอกจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะฟังคนอื่นว่ามา แต่ร้อยละ 95.6 ยืนยันห้ามแตะต้องหมวด 1 และ 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ขณะที่ร้อยละ 75.1 เชื่อว่าต่างชาติแทรกแซงการเมืองไทยทั้งเรื่องแก้ไข รธน.และการชุมนุมต่างๆ
วันนี้(27 ก.ย.) ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลการสำรวจภาคสนามเรื่อง มหามิตรต่างชาติ กับ การแทรกแซงชาติไทย กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำนเนิการศึกษาทั้งเชิงประมาณและเชิงคุณภาพ จำนวน 1,069 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 21 – 26 ก.ย.ที่ผ่านมา สรุปผลได้ดังนี้
เมื่อถามถึงประสบการณ์ของประชาชนเกี่ยวกับการอ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.5 ระบุไม่เคยอ่านเลย ในขณะที่ร้อยละ 2.5 เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 16.0 เคยอ่านทั้งฉบับ เมื่อถามถึงประสบการณ์ของประชาชนเกี่ยวกับการอ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.7 ระบุไม่เคยอ่านเลย ในขณะที่ร้อยละ 2.1 เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 26.2 เคยอ่านทั้งฉบับ
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.3 ระบุจะแก้รัฐธรรมนูญ เพราะฟังคนอื่นเขาว่ามาเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านด้วยตนเอง ในขณะที่ร้อยละ 14.7 ระบุอ่านด้วยตนเองอย่างละเอียด ครบถ้วน ทุกมาตรา และที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.6 ระบุ ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ได้บางมาตรา แต่ห้ามแตะต้อง ล่วงละเมิดหมวด 1 และ 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ในขณะที่เพียงร้อยละ 4.4 ระบุว่าแก้ไขได้
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.1 ระบุว่ามีต่างชาติแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศไทย เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การชุมนุมม็อบต่าง ๆ ในขณะที่ร้อยละ 24.9 ระบุไม่มี
เมื่อถามถึง ประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติกับประเทศไทย ระหว่างจีน กับ สหรัฐอเมริกา ที่เข้าถึงเข้าใจวัฒนธรรมไทยจิตใจของคนไทยแท้จริง พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 54.2 ระบุทั้งสองประเทศเป็นมหามิตรต่างชาติของไทย ในขณะที่ร้อยละ 22.5 ระบุประเทศจีน ร้อยละ 15.6 ระบุสหรัฐอเมริกา และร้อยละ 7.7 ระบุไม่ใช่ทั้งสอง
เมื่อถามถึงประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติ กับ ประเทศไทย ระหว่าง จีน กับ สหรัฐอเมริกา ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลคนไทยและประเทศไทยอย่างจริงใจมาโดยตลอด พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.5 ระบุทั้งสองประเทศเป็นมหามิตรต่างชาติของไทย ในขณะที่ร้อยละ 23.2 ระบุประเทศจีน ร้อยละ 18.3 ระบุสหรัฐอเมริกา
เมื่อถามถึงประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติ กับ ประเทศไทย ระหว่าง จีน กับ สหรัฐอเมริกา ที่ควรเข้ามาทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยทั้งประเทศต่อสถาบันหลักของชาติ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 52.8 ระบุ ทั้งสองประเทศควรเข้ามา ในขณะที่ร้อยละ 17.7 ระบุว่าสหรัฐอเมริกาควรเข้ามาทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยทั้งประเทศต่อสถาบันหลักของชาติ และร้อยละ 16.3 ระบุเป็นประเทศจีน และร้อยละ 13.2 ระบุไม่ใช่ทั้งสองประเทศนี้
ผศ.ดร.นพดล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญกันทั้งรัฐธรรมนูญปี 40 กับ รัฐธรรมนูญปี 60 แต่การที่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปตามการชี้นำของผู้อื่นที่เขาว่ามาไม่ได้อ่านด้วยตนเอง นอกจากนี้ คนไทยส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า ห้ามแตะต้อง ล่วงละเมิดแก้รัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 และ 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ โดยยังเห็นว่ามีขบวนการต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญและการชุมนุมของกลุ่มม็อบต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม คนไทยยังมองว่าทั้งประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหามิตร ที่ควรเข้ามาช่วยกันทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยต่อสถาบันหลักของชาติมากกว่าจะทำลายเสาหลักของชาติไทยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวด้วยว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนและประชาชนคนไทยส่วนใหญ่มีความสุข เมื่อทุกคนสำนึกรู้คุณแผ่นดินและสถาบันหลักของชาติ โดยการเมืองเป็นเรื่องของการเมืองอย่างแท้จริง ใครไม่รักแต่อย่าทำลาย เพราะประเทศไทยจำเป็นต้องมีเสาหลักของชาติ มีเกราะไว้ป้องกันชาติและประชาชนที่อยู่เหนือการเมือง ผู้ใดจะก้าวล่วงละเมิดไม่ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกภาพหนึ่งคือ บ้านเมืองวุ่นวาย เสาหลักของชาติถูกสั่นคลอน ไร้ระเบียบ ไม่มีใครคุมใครได้ เพราะปล่อยให้มีการคุกคามสถาบันหลักของชาติต่อเนื่อง จนเกิดการเลียนแบบอย่างกว้างขวาง จนบ้านเมืองมีแต่ซากปรักหักพังและการสูญเสีย จากนั้นประเทศมหาอำนาจจะอ้างความชอบธรรมเข้ามาจัดระเบียบประเทศไทยใหม่ แต่พวกเขามักจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ชาติไทยออกไปด้วยกลายเป็นว่าพวกเรากำลังจะทำลายบ้านเมืองของเรา เมื่อบ้านเมืองของเราพังพินาศก็ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเอาทรัพยากรของชาติเราไป ถึงเวลานั้น ใครหรือกลุ่มใดจะมีพลังมากพอที่จะปกป้องชาติเอาไว้ได้เล่า
“วันนี้ ณ เวลานี้ ทุกคนน่าจะรักษาสถานภาพเดิมให้คงอยู่ต่อไป (The Status Quo) เพราะทุกวันนี้ประเทศไทยและคนในชาติ ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งของโลกในหลายเรื่อง เช่น การแก้ปัญหาวิกฤตโควิด และวิกฤตชาติเวลานี้ก็กำลังคลี่คลายในทางที่ดี ส่วนปัญหาปากท้องของประชาชนก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกรัฐบาลที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและประเทศไทยก็ยังดีกว่าหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันนี้ และพวกเราคนไทยบางคนจะพยายามเคลื่อนไหวสั่นคลอนชาติของตนเองต่อไป เพื่อผลประโยชน์ของใคร” ผศ.ดร.นพดลกล่าว