xs
xsm
sm
md
lg

“เชาว์” จี้ สตช.-อสส.ฟันก๊วนสมยอมทำสำนวนไม่สุจริต หวั่นรื้อคดีแต่ตั้งเรื่องไม่เข้าเกณฑ์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อดีตโฆษก ปชป.บี้ สตช.-อสส.เอาผิดขบวนการสมยอมทำสำนวนไม่สุจริต แนะเร่งทบทวนรื้อคดี เปลี่ยนเหตุผลเป็นกระบวนการทำสำนวน-สั่งคดีไม่ชอบ หวั่นตั้งเรื่องไม่เข้าเกณฑ์อาจทำแพ้ทางเทคนิค บี้ กมธ.กฎหมาย สนช.รับผิดชอบใช้กลไกรัฐสภาแทรกแซงคดี

วันนี้ (2 ก.ย.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความถึงบทสรุปคณะกรรมการชุดนายวิชา มหาคุณ ว่าโจทย์ใหม่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานอัยการสูงสุด ต้องมีคำตอบและนายกรัฐมนตรีต้องจัดการเด็ดขาด อย่าเป็นมวยล้มต้มคนดู โดยมีเนื้อหาระบุว่า “จบภารกิจ 30 วัน สอบปฏิบัติการสมคบคิดล้มคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ไปแล้วสำหรับคณะกรรมการชุดที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน ได้บทสรุปครบถ้วน ผมคิดว่ามี 2 ประเด็นใหญ่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุด ต้องมีคำตอบ

ประเด็นแรก คือ การเอาผิดกับขบวนการสมคบคิดทั้งยวง เรื่องนี้ สตช.มีการสรุปความผิด 20 ตำรวจที่ทำคดีนี้ไปเมื่อวันที่ 19 ส.ค.ชงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาโทษ แต่จนถึงขณะนี้ยังไร้ความคืบหน้าว่ามีบทลงโทษแต่ละรายอย่างไร ซึ่งจะต้องนำข้อมูลส่วนนี้มาเผยแพร่ต่อสาธารณะด้วย นอกจากนี้ สตช.ยังต้องพิจารณาบทสรุปของคณะกรรมการชุดนายวิชาว่ามีอะไรที่เพิ่มเติมไปจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของตำรวจหรือไม่ และจะจัดการอย่างไร

ขณะที่ สำนักงานอัยการสูงสุด มีคำสั่งของอัยการสูงสุดตั้งคณะทำงานตรวจสอบความเห็นและดุลพินิจของนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด ที่เป็นผู้สั่งไม่ฟ้องคดีนายบอส ว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.ต่อมานายสมศักดิ์ บุญทอง ประธานคณะทำงานชุดนี้ ได้ยื่นหนังสือลาออกเมื่อวันที่ 18 ส.ค.เพื่อเปิดโอกาสให้อัยการสูงสุดตั้งกรรมการชุดใหม่ตามระเบียบใหม่ แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีคำชี้แจงใดๆ เพิ่มเติมจากสำนักงานอัยการสูงสุดว่า มีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่หรือยัง ถ้าตั้งแล้วมีความคืบหน้าอย่างไร ซึ่งในขณะนี้อาจเรียกได้ว่าไม่มีความสำคัญแล้ว เพราะควรนำบทสรุปของคณะกรรมการชุดนายวิชา มาดำเนินการต่อ จัดการกับคนทำผิดอย่างเด็ดขาด แม้นายเนตรจะชิงลาออกไป ทำให้ไม่สามารถเอาผิดทางวินัยได้ เนื่องจาก ลาออกก่อนที่จะมีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง แต่คดีอาญายังอยู่ คณะกรรมการอัยการ ต้องเร่งพิจารณาและดำเนินคดีอาญาทั้งมาตรา 157 กฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการอัยการต่อนายเนตรโดยเร็ว เพื่อพิสูจน์ว่าไม่อุ้มคนผิด เรียกศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมา

นอกจากนี้ ต้องมีการเอาผิดต่อคณะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจของ สนช.ทั้งชุด เพราะพวกท่านปล่อยให้มีการใช้กลไกรัฐสภาเป็นเครื่องมือแทรกแซงการทำงานของตำรวจและอัยการ ปล่อยให้คณะทำงานที่กรรมาธิการฯตั้งขึ้น ไปทำหน้าที่เหมือนพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจสร้างพยานหลักฐานใหม่ เปลี่ยนรูปคดี แม้จะอ้างว่าอัยการสูงสุดในขณะนั้นไม่ได้คล้อยตาม แต่สุดท้ายพยานหลักฐานที่ชงขึ้นไปถูกใช้เป็นประโยชน์ในการสั่งไม่ฟ้องคดี จึงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ผมเสียดายที่มีกรรมาธิการหลายคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะทักท้วงให้ถึงที่สุด จะมีคนที่พยายามทักท้วงหนักแน่นที่สุดก็คือ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ซึ่งในบันทึกการประชุมวันที่ 16 ธันวาคม 2559 ถึงกับระบุในตอนหนึ่งว่า ถ้าเป็นคดีทั่วไปเราจะไม่รับวินิจฉัย เพราะถือเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการ ถ้าเรารับไว้ก็จะเป็นบรรทัดฐานว่าคดีอื่นๆ ทำนองเดียวกัน ก็ต้องรับวินิจฉัยทำนองเดียวกัน และยังมีอีกหลายจุดที่ท่านพยายามทักท้วง เช่น เนื้อหารายงานที่ปรากฏหลักฐานใหม่หักล้างข้อเท็จจริงเดิม จนสามารถหักล้างคำสั่งฟ้องเดิมได้ ส่วนคนอื่นๆ ว่าไปตามน้ำทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องรับผิดชอบผลกรรมที่ร่วมกันกระทำด้วย

ประเด็นที่ 2 เรื่องการฟ้องคดีนายบอสใหม่ ผมเคยแสดงความเห็นไว้แล้วว่า ไม่เห็นด้วยที่จะมีการรื้อคดีโดยอ้างเรื่องความเร็วรถ เพราะเป็นข้อมูลเก่าที่เคยปรากฏในสำนวนที่มีการสั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้ว หากดึงดันที่จะใช้เรื่องนี้มาเป็นเหตุฟ้องคดีใหม่ ก็เหมือนยื่นดาบให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้ข้อกฎหมายว่า เป็นการฟ้องโดยไม่ชอบเนื่องจากไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ โดยในขณะนั้นผมเสนอว่าควรรอบทสรุปจากคณะกรรมการชุดนายวิชา เพื่อนำมาใช้เป็นเหตุในการฟ้องคดีใหม่ และตอนนี้ก็สามารถนำมาใช้ได้แล้ว เนื่องจากมีข้อยุติในกรรมการชุดนี้อย่างชัดเจนว่า กระบวนการจัดทำสำนวนไม่ชอบ มีขบวนการสมคบคิด ที่นายวิชาเรียกว่า “กระบวนการทำสำนวนสมยอมไม่สุจริต” ซึ่งอัยการควรนำเรื่องนี้มาเป็นเหตุว่า กระบวนการทำสำนวนและการสั่งคดีไม่ชอบ โดยควรลงลึกต่อว่าพยานหลักฐานชุดที่นายเนตรใช้เป็นเหตุผลในการสั่งไม่ฟ้องนั้นถือเป็นพยานหลักฐานเท็จหรือไม่ เพราะมีความชัดเจนว่ามีการแต่งพยานขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของฝ่ายจำเลย เพราะฉะนั้นการฟ้องคดีใหม่โดยใช้บทสรุปของคณะกรรมการชุดนายวิชาที่ชี้ว่ากระบวนการทำสำนวนและการสั่งคดีไม่ชอบจึงถูกต้องที่สุด อย่าเอาสีข้างเข้าถูรื้อคดีด้วยเรื่องเดิม เพราะถ้าไปถึงศาลแล้วศาลเห็นว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์กฎหมายในการรื้อคดีขึ้นสอบสวนใหม่ตามป.วิอาญามาตรา 147 เรื่องมันจะยิ่งยุ่ง สำนักงานอัยการสูงสุดจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงอีกครั้ง พร้อมคำถามว่า จงใจรื้อคดีใหม่แบบไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายเพื่อล้มคดีแบบถาวรหรือไม่

บทสรุปของกรรมการชุดนายวิชาจึงมีเวลาไม่มากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ต้องรีบตอบและลงมือทำอย่างตรงไปตรงมา และสังคมกำลังรอดูว่านายกรัฐมนตรีจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้อย่างไร หรือปล่อยให้ผ่านๆ ไปเป็นมวยล้มต้มคนดู” นายเชาว์ระบุทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น