xs
xsm
sm
md
lg

เจอฤทธิ์ “ลุงๆ สไตล์” บทสรุป “ปรีดี ดาวฉาย” ฝืนไม่ไหวต้องขอลา **อ่านผลสอบ “คดีบอส” แล้ว “ลุงตู่” ถึงกับออกปากเป็นเรื่องน่าเศร้าของกระบวนการยุติธรรมไทย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์







ข่าวปนคน คนปนข่าว

** เจอฤทธิ์ “ลุงๆ สไตล์ บทสรุปปรีดี ดาวฉาย ฝืนไม่ไหวต้องขอลา งานนี้เมื่อลุงจะเอาการเมืองนำหน้า ก็ไปให้สุดทาง ดันสันติ-บิ๊กอาย คุมเศรษฐกิจเลยดีมั้ย?

เกิดคำถามมากมาย หลังจาก “ปรีดี ดาวฉาย” ซึ่งเพิ่งจะทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แค่สามสัปดาห์ ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกลาโหม แบบไม่มีใครคาดคิด

เหตุผลในหนังสือลาออก “ปรีดี” ระบุว่า เป็นเรื่องของสุขภาพเพราะมีอาการป่วยไม่สบาย โดยที่ก็ว่ากันว่า ตั้งแต่รับตำแหน่งรมว.คลัง มา อดีตผู้บริหารแบงก์กสิกรไทย ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เรียกว่าเครียดหนักจนบางวันถึงกับลุกไปทำงานไม่ไหว เมื่อลาออกแล้วก็มีนัดหมายกับหมอ จะขอตรวจสุขภาพครั้งใหญ่

ทว่า สุขภาพกายก็ส่วนหนึ่ง แต่สุขภาพที่ย่ำแย่ก็เชื่อกันว่า น่าจะมาจาก “สุขภาพจิตของปรีดี” มากกว่า !!

โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทำให้ รมว.คลังมือใหม่ เสียสุขภาพจิตมากๆ ตัวเองเป็นรัฐมนตรีว่าการ แต่กลับถูกสั่งการข้ามหัวก็หนึ่งล่ะ... เรื่องนี้ไปเลียบๆ เคียงๆ ถามบรรดารัฐวิสาหกิจ-แบงก์รัฐ ในสังกัดกระทรวงการคลังดูได้ ว่า ใครถูกเรียกตัวถี่ๆ ขอนู่นขอนั่น แบบไม่เกรงใจ รมว.ที่ว่าการกำกับดูแลกันเลย

แถมใน ครม. ยังถูกรัฐมนตรีช่วยฯ “สันติ พร้อมพัฒน์” ชงโผแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงเข้ามาแข่งในที่ประชุม ครม. ซึ่งไม่คอยเกิดขึ้นเท่าไหร่ แต่แทนที่ “ลุงตู่” จะแบ็ก รมว.คนนอกที่ตัวเองเชื้อเชิญมา สั่งให้ ครม.เอาตามโผของ “ปรีดี” กลับสั่งให้ถอนวาระจนเป็นเรื่องปูดขึ้นมาว่า ที่ ครม.สัญจร จ.ระยอง สองรัฐมนตรีกระทรวงคลังขัดแย้ง ระหองระแหงกัน และเชื่อกันว่า นี่เป็นปมที่ทำให้ “ปรีดี” ขอลาออกด้วย

ปรีดี ดาวฉาย
ว่าไปแล้ว นี่เป็นสไตล์ของลุงๆ หรือ “ลุงๆ สไตล์” ที่ปรีดีเจอเข้ากับตัวเอง เหมือนๆ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อดีตรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ และทีมสี่กุมาร ที่เคยเจอฤทธิ์เดชของลุงๆ มาแล้ว
สไตล์นี้ก็คือ ลุงคนหนึ่งเชิญมาทำงาน แต่กลับปล่อยให้ลุงอีกคนหนึ่ง หนุนหลังให้ท้ายนักการเมืองในสังกัด คอยแซะ คอยขัดขากันเอง โดยความจริง ลุงๆ ก็เล่นไพ่วงเดียวกันนั่นแหละ แต่ทำเป็นตีไพ่กันคนละหน้า เกมเล่นไป เล่นกันมา สุดท้ายก็ปล่อยการเมืองนำหน้า เพื่อหวังกินรวบทั้งกระดาน
นาทีนี้ เศรษฐกิจวิกฤตจากพิษโควิด การเชื้อเชิญมืออาชีพ ฝีมือดีเข้ามาทำงาน ได้คนอย่าง “ปรีดี ดาวฉาย” ที่ผู้ใหญ่ขอร้องกันมา กสิกรฯ ไฟเขียวไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องยอมรับว่า รมว.คลัง คือ ตำแหน่งสำคัญที่จะขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ... ตามหลักคนเป็นเบอร์หนึ่ง หรือหัวหน้าคณะรัฐบาล และเป็นคนเชิญปรีดีมาด้วย “ลุงตู่” ควรจะต้องแบ็ก “ปรีดี” เต็มร้อย แต่กลายกลับเป็น “รมช.สันติ” ที่ได้ลุงอีกคนเป็นแบ็ก ก็โชว์พาวเบ่งบารมีขึ้นมา เอาง่ายๆ แค่การเสนอแต่งตั้งคนทำงานในกระทรวงยังยาก ต้องงัดข้อกับ รมช. ต่อไปจะสั่งการข้าราชการให้ช่วยกันทำงาน จะมีใครฟัง ปัญหาย่อมตามมาแน่ๆ
การทำงานที่คลัง จึงไม่น่าจะเป็นอย่างที่คุยกันไว้ ซึ่งแน่นอนว่า “ปรีดี” เป็น รมว.คนนอกโควตานายกฯ นั้นแตกต่างจากคนในพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นเกมการเมือง และไม่จำเป็นต้องต่อรองเพื่อตำแหน่ง ... เมื่อไม่ได้รับการปกป้องดูแล อยู่ไปก็ไลฟ์บอย การลาออกจึงตัดสินใจง่ายกว่า

สันติ พร้อมพัฒน์
งานนี้ก็สะท้อนว่า “ลุงๆ สไตล์” นั้นได้สร้างความอึดอัดขัดข้องใจให้คนนอกมือทำงานอีกแล้ว
กรณี “ปรีดี” คนที่เจ็บปวดที่สุดคงเป็น “ลุงตู่” เพราะว่า คิดต่อไปว่าใครจะกล้าอาสารับเชิญเข้ามาทำงานในตำแหน่ง รมว.คลัง ต่อจาก “ปรีดี” น่าจะหายากถึงยากที่สุด!!
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เมื่อ ลุงๆ คิดว่าคุมเกมเอาการเมืองนำหน้า กลับหัวกลับหางอยู่แล้วในเวลานี้ ถ้าจะไปให้สุดทาง อย่างที่ก่อนหน้านี้ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ อยากจะให้เป็น โดยเชื่อว่าบุคลากรของตัวเองในพรรค มีความรู้ความสามารถหลายคน ลุงๆ ก็น่าจะพิจารณา “สันติ พร้อมพัฒน์” หรือ “แม่บิ๊กอาย” ขึ้นชั้นมาดูแลเศรษฐกิจของประเทศเต็มที่ดีมั้ย
มาถึงตรงนี้แล้วเต็มเหนี่ยวไปเลยลุง.




** อ่านผลสอบคดีบอสแล้วลุงตู่ ถึงกับออกปากเป็นเรื่องน่าเศร้าของกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ไม่ใช้จริยธรรมนำทาง... สั่งรื้อคดีใน 30 วัน พร้อมเช็กบิลเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ผลสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง “คดีบอส” ที่ “วิชา มหาคุณ” ประธานคณะกรรมการสอบ สรุปเสนอ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการต่อไปนั้น ระบุชัดว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำงานอย่างมืออาชีพ จึงเสนอให้มีการรื้อฟื้นคดีที่ยังไม่ขาดอายุความขึ้นมา “นับหนึ่งใหม่”
...มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ “ฟอกขาว” ให้ “บอส” ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในตำแหน่ง ไม่อยู่ในตำแหน่ง รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่ในข่ายต้องสอบเอาผิดทางอาญา วินัย และจริยธรรม เกิน 10 คน แบ่งเป็น 8 กลุ่ม คือ 1. พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับสำนวน 2. พนักงานอัยการซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 3. ผู้บังคับบัญชา ที่แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ 4. สนช.ที่เข้ามาแทรกแซง 5. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 6. ทนายความ 7. พยานให้การเป็นเท็จ และ 8. ตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุน ในการทำผิดกฎหมาย
แม้ในในการแถลงข่าว และรายงานสรุปที่แจกให้สื่อมวลชน จะไม่ได้ระบุชื่อผู้ที่ร่วมในขบวนการไว้ชัดเจน แต่ “อาจารย์วิชา” ก็ได้สรุปเป็นชื่อย่อ พร้อมตำแหน่งของบุคคลที่กระทำการอัน “น่าอาย” ไว้ให้ ... อาทิ พันตำรวจโท ธ., รองศาสตราจารย์ ส., พันตำรวจโท ว., พลอากาศโท จ., นาย จ., นาย น. รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด และ นาย ช. เป็นต้น
หากผู้ที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด ก็จะรู้ถึงชื่อย่อเหล่านี้ได้ทันที เพราะตามขั้นตอนของคดี ก็จะเริ่มที่พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ...ต่อมาอัยการสั่งฟ้องคดี ...แต่ “บอส” ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อ กมธ.กฎหมายฯ สนช. จากนั้นก็มีการรื้อสำนวน สอบเพิ่มเติม มีประจักษ์พยานใหม่เข้ามา และมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถขณะเกิดเหตุ จากนั้นส่งสำนวนกลับไปให้อัยการ และ อัยการสั่งไม่ฟ้อง
หลังจากนี้ สังคมก็ต้องโฟกัสไปที่ “ลุงตู่” ว่าจะดำเนินการอย่างไร จริงจังแค่ไหน หรือจะเล่นบท “ลอยตัว” ... เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม ต่อรัฐบาล ต่อประเทศชาติ และที่สำคัญต่อตัว “ลุงตู่” เอง ที่กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธาอยู่ในขณะนี้

วิชา มหาคุณ - วรยุทธ อยู่วิทยา
ซึ่ง “ลุงตู่” ก็ได้ระบายความในใจผ่านทางเฟซบุ๊กว่า ...หลังจากได้อ่านรายงานแล้วก็รู้สึกว่า “เป็นสิ่งที่น่าเศร้ามากสำหรับประเทศไทย” เพราะเห็นชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่บางคน ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างโปร่งใส ไม่ใช้จริยธรรมและศีลธรรมนำทางในการปฏิบัติหน้าที่
...แต่คดีนี้ ก็มีทั้งเรื่องที่อยู่ในอำนาจนายกฯ ที่จะทำได้ และทำไม่ได้ ...เรื่องที่ทำไม่ได้คือ ไม่มีอำนาจที่จะไปตัดสินว่า “บอส” มีความผิดหรือไม่ เพราะเป็นอำนาจของศาลที่จะเป็นผู้พิจารณา ตัดสินไปตามหลักกฎหมาย และพยานหลักฐาน
แต่เรื่องที่นายกฯทำได้ และจะรีบดำเนินการ ก็คือ ให้ตำรวจดำเนินคดีต่อ “บอส” ในคดีที่ยังไม่หมดอายุความ ภายใน 30 วัน จะไม่มีการปล่อยให้ถ่วงเวลาจนคดีหมดอายุความ และสั่งการให้สอบสวนเอาผิดเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลที่อาจจะเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความไม่ถูกต้องในกระบวนการทางกฎหมาย ทั้งจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือ การไม่ปฏิบัติหน้าที่
และขอฝากข้อเตือนใจทุกคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีหลังจากนี้ ต้องทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ใช้จริยธรรมและศีลธรรมนำทาง... เพราะได้บอกแล้วว่า รัฐบาลจะทำงานแบบ “New Normal” จะต้องทำงานโดยรับผิดชอบกับงานของตัวเอง และรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นด้วย กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม เป็นหลักของประเทศชาติ ถ้าเราอยู่กันแบบไร้กฎหมาย บ้านเมืองก็จะกลายเป็นอนาธิปไตยทันที
เมื่อ “ลุงตู่” ประกาศเอาจริงเอาจัง ไม่ลอยตัวเช่นนี้ เชื่อว่า ผู้ที่รู้ตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องพัวพัน คงหนาวไปตามๆ กัน!!




กำลังโหลดความคิดเห็น