xs
xsm
sm
md
lg

เปิดบันทึกประชุม กมธ.สนช.+ปากคำ “พ.ต.อ.” จับโป๊ะ “สมยศ” ปัดไม่ใช่ตัวละครลับ ไม่รู้จักใครในคดีบอส ** ระเบิดศึก “เต้-สิระ” เหตุจาก “เด็กดิจิทัล” ชู 3 นิ้ว ไล่ “ผู้ใหญ่อนาล็อก”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์







ข่าวปนคน คนปนข่าว

**เปิดบันทึกประชุม กมธ.สนช.+ ปากคำ “พ.ต.อ. จับโป๊ะสมยศ, บอสกระทิงแดง, ชู 3 นิ้ว ปัดไม่ใช่ตัวละครลับ ไม่รู้จักใครในคดีบอส ใครแถใครพูดโกหก เดี๋ยวก็รู้ ! ในที่สุด “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มี “วิชา มหาคุณ” เป็นประธาน กรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา

ตามข่าว “พล.ต.อ.สมยศ” เดินทางมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่พอถูกถามความเป็น “ตัวละครลับ” ผู้นำพา “ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม” ไปพบ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น” พนักงานพิสูจน์หลักฐานที่ดูเรื่องการคำนวณรถของบอสในขณะนั้นหรือไม่ “พล.ต.อ.สมยศ” ตอบว่า จะชี้แจงในห้องประชุมกับคณะกรรมการเท่านั้น

เมื่อถามถึงความกังวลในการให้ข้อมูลคดีนี้ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวสั้นๆ ว่า “สบาย สบาย” และพอให้ชี้แจงกรรมการเสร็จลงมาก็ร่ายยาวขึ้นว่า ในกรณี “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการนำพยานเพิ่มเติมมาหักล้างสำนวนคดี ยืนยันว่า ตามไทม์ไลน์เป็นไปไม่ได้ ที่จะอยู่ในช่วงเวลานั้น เพราะช่วงระหว่างวันที่ 23-28 ก.พ. 59 ได้เดินทางไปประชุมฟีฟา ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงไม่ได้อยู่ในห้องสอบสวนคดีตามที่มีการกล่าวอ้าง ใครพูดอะไรไว้ ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ แถมยืนยัน ไม่รู้จักกับ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” หรือใคร ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ !!

เรื่องนี้ ถ้าใครติดตามกันมาต่อเนื่องก็ต้องบอกว่า “ตัวละครลับ” ตัวนี้ถูกเปิดมาจากการเข้าชี้แจงของ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ซึ้งตอนแรกไม่ได้ระบุว่าเป็นใครเพราะถูก “ผู้ใหญ่” ห้ามไว้ไม่ให้พูด ต่อมา “รังสิมันต์ โรม” ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เฉลยตัวละครลับว่า คือ “พล.ต.อ.สมยศ” ที่พา “ดร.สายประสิทธิ์” เข้ามาเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วรถ จนกลายเป็นจุดพลิกของคดีให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง

วรยุทธ อยู่วิทยา
ไหนๆ มาย้อนดูกันนิด จากข้อมูลของ “รังสิมันต์” เอามาเทียบเคียงเอกสารการประชุมของ กมธ.สนช. ที่เป็นคีย์หลักของจุดพลิกคดีบอส ก็พบว่า “พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ซึ่งเป็นกรรมาธิการในคณะ กมธ.กฎหมาย สนช. ชุดดังกล่าวด้วย ในเอกสารบันทึกการประชุม ครั้งที่ 47/2559 วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 (หน้าที่ 14) บันทึกไว้ว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้ให้ข้อมูลต่อที่ประชุมสรุปว่า การดำเนินคดีดังกล่าวอยู่ในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.

“พนักงานสอบสวน หรือกองพิสูจน์หลักฐานกลาง มีความเห็นเกี่ยวกับความเร็วที่ต่างกัน ผู้ต้องหาร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุดเกี่ยวกับประเด็นความเร็วในการขับขี่รถยนต์ เรื่องนี้ถูกมอบหมายไปที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง และผู้รับผิดชอบเรื่องการตรวจความเร็ว คือ พันตำรวจโท ธนสิทธิ์ แตงจั่น ต่อมาได้มีการหารือกัน พันตำรวจโท ธนสิทธิ์ แตงจั่น แจ้งว่า ในการเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุหลังจากเกิดเหตุนั้น การจราจรแออัดมาก รวมทั้งมีประชาชนมุงดูจำนวนมาก การตรวจสอบกระทำด้วยความรีบร้อน ไม่รอบคอบ จึงได้มีการพิจารณาถึง วัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุ ทัศนวิสัย สภาพสถานที่เกิดเหตุ หากรถยนต์ใช้ความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 05.37 น. บนถนนสุขุมวิท ซึ่งมีสภาพการจราจรแออัด มีแยกไฟแดงจำนวนมาก และทัศนวิสัยตลอดจนพื้นผิวถนนเช่นนั้น สามารถขับด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้หรือไม่ ควรพิจารณาทบทวนอีกครั้ง พันตำรวจโท ธนสิทธิ์ แตงจั่น ยืนยันว่า การพิจารณาผิดพลาด ...จึงทำให้ พันตำรวจโท ธนสิทธิ์ แตงจั่น เปลี่ยนแปลงความเห็นเกี่ยวกับรายงานการตรวจความเร็วของรถยนต์”

นี่คือ “พล.ต.อ.สมยศ” กล่าวให้ข้อมูลกับที่ประชุมกรรมาธิการ เมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธ.ค. 59

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
ส่วนตามไทม์ไลน์ที่ “พล.ต.อ.สมยศ” ระบุว่า ไม่อยู่ ระหว่างวันที่ 23-28 ก.พ. 59 ไปประชุมฟีฟา ที่สวิส ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวานได้เรียกนายตำรวจที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ทั้ง “พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ อดีต ผบ.พิสูจน์หลักฐานตำรวจในขณะนั้น “พ.ต.อ.วิรดล ทัมทิบดี” พนักงานสอบสวนในคดีนี้ และ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น” ตร.พิสูจน์หลักฐาน ขาดเพียง “พล.ต.อ.สมยศ” ที่อ้างว่าติดภารกิจ
ฟังว่า การชี้แจงของตำรวจ 3 นาย ไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่นั่งติดกัน จนชาวโซเชียลฯ งุนงง ต้องตั้งคำถามว่า จะเชื่อใครได้ ?
เหตุการณ์เกิดวันเดียวกัน 26 ก.พ. ที่ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ระบุว่า “พล.ต.อ.สมยศ” พา ดร.สายประสิทธิ์ มาเปิดตัว “พล.ต.อ.มนู” กลับบอกว่า พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้มา ไม่รู้ใครพามา

ขณะที่ “พ.ต.อ.วิรดล” ว่า ไม่รู้จัก ดร.สายประสิทธิ์ มาก่อน เพิ่งเจอครั้งแรกวันนั้น และจำไม่ได้ว่าใครพามา

ส่วน “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” พูดเหมือนเดืม ยืนยันว่า “พล.ต.อ.สมยศ” พา ดร.สายประสิทธิ์ จำได้แม่นว่า เหตุการณ์วันที่ 26 ก.พ. 59 วันนั้น “พ.ต.อ.วิรดล” มาหาตอนบ่าย จะขอสอบปากคำและแจ้งเองว่า “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” มาด้วย เมื่อทราบว่า อดีต ผบ.ตร. มาผมจึงแจ้งให้ พล.ต.ต.ธวัชชัย และ พ.ต.อ.วิวัฒน์ มาพร้อมกัน ที่ห้องทำงานของ “พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก”

พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น
เมื่อมาถึงก็พบว่ามี “พล.ต.อ.สมยศ” อยู่กับ “ดร.สายประสิทธิ์” และ “พ.ต.อ.วิรดล” ก็อยู่ในห้อง ซึ่ง “พล.ต.อ.สมยศ” เป็นคนแนะนำให้รู้จัก ดร.สายประสิทธิ์ และอธิบายว่า มีวิธีคำนวณความเร็วแบบใหม่ หลังจากมีการนำเสนอวิธีคำนวณแล้ว จากนั้นพล.ต.อ.สมยศ และ ดร.สายประสิทธิ์ ก็กลับไป

การที่วันนี้ “พล.ต.อ.สมยศ” มาบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่รู้จัก “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” แต่ทั้งบันทึก กมธ.สนช. และ ปากคำของ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ยืนยันมั่นเหมาะ ย่อมต้องมีคำถามตามมาว่า ใครแถ ใครโกหกกันแน่ !!?
เชื่อ พล.ต.อ.สมยศ กันมั้ย ? ถามใจกันดู .






** ระเบิดศึกเต้-สิระ เหตุจากเด็กดิจิทัล ชู 3 นิ้ว ไล่ผู้ใหญ่อนาล็อก ทำเอาเต้ พระราม 7ออกมาขีดเส้นให้นายกฯ ลาอออก ใน 1 เดือน ถ้าแก้ปัญหาไม่ตก...สิระได้ทีสวมบทหัวหมู่ทะลวงไส้... ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา แถมเย้ยว่าเงินหมดล่ะสิ ... จากนั้นก็เรื่องยาว !!

มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
การต่อต้าน “รัฐบาลอนาล็อก” จาก “เด็กดิจิทัล” นักเรียน นิสิตนักศึกษา ที่ออกมาชู 3 นิ้ว ผูกริบบิ้นขาว แสดงสัญลักษณ์ “ขับไล่รัฐบาล” กำลังเป็นกระแสมาแรงสะเทือนสังคมการเมือง ชนิดที่ว่าแม้แต่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ก็ยังต้องออกมาร่วมเกาะกระแส ...เพียงแต่ไม่ได้เอิกเริก เหมือนพรรคการเมืองซีกฝ่ายค้าน... แต่ออกมาในรูปของการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตั้ง ส.ส.ร. ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แบบที่ไม่เอา ส.ว.อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แล้วยุบสภา เลือกตั้งล้างไพ่กันใหม่

ขณะที่ “ผู้ใหญ่ในรัฐบาล” โดยเฉพาะในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ กำลังมึนกับการแก้เกมเรื่องนี้ ...“เต้ ดิจิทัล” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ก่อนหน้านี้ วางตำแหน่งตัวเองเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ก่อนจะหันหัวเรือมาสนับสนุนรัฐบาล เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี เลยออกมากระตุ้นเตือนให้ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รีบแก้ไขคลี่คลายสถานการณ์ ถ้าเห็นท่าไม่ไหวก็ขอให้ลาออกภายใน 1 เดือน

“ส.ส.เต้” เอานิ้วไถสมาร์ทโฟน แล้วบอกว่า วันที่ 19 ก.ย.นี้ ข่าวว่าจะมีการชุมนุมใหญ่ คราวนี้จะไม่มีเพียงนักเรียน นิสิต นักศึกษาเท่านั้น แต่จะมีพวกคนตกงาน คนที่เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ มาร่วมสบทบด้วย และมีโอกาสที่จะบุกไปล้อมสภาฯ เพราะช่วงนั้นจะมีการลงมติ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 64 พอดี

เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้เกิดความสูญเสีย “ลุงตู่” อย่ายึดติด !! ควรตัดสินใจลาออก แล้วให้สภาฯดำเนินการเลือกนายกฯ คนใหม่ ตามบัญชีนายกฯ ของพรรคการเมืองต่างๆ ที่เคยเสนอไว้ ซึ่งยังมีคนที่เหมาะสมอีกหลายคน ...

เพิ่งรับมาอยู่ฝ่ายรัฐบาลลงเรือลำเดียวกันแท้ๆ เจอคลื่นลมนิดหน่อย กลับมา “ขีดเส้น” ให้ลาออกภายใน 1 เดือน... คนที่ฟังแล้วหัวร้อนกว่า “ลุงตู่” ก็คือ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ ที่รับบท “หัวหมู่ทะลวงไส้” ใครแหลมแตะรัฐบาลไม่ได้ ต้องเจอกัน !!

สิระ เจนจาคะ
ว่าแล้ว “สิระ” ก็โต้กลับ “เต้ ดิจิทัล” ทันควัน บอกตั้งแต่เป็น ส.ส. ก็มีแต่สร้างเรื่องอย่างพกสารก่อระเบิดเข้าสภาฯงี้ แสดงตัวเด่น อยากเป็นรัฐมนตรี.. ไม่ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้าง ... ตัวเองควรลาออกจาก ส.ส.มากกว่าที่จะมาบอกให้นายกฯลาออก ... นี่สงสัยจะเงินหมด หลังบริจาคเงินเดือนช่วยโควิด ... ถ้าเงินหมดก็บอกมา จะช่วยดูแลให้...

เจอคำพูดแบบ “ผีเจาะปาก” แรงๆ แถม “โชว์ป๋า” เอาเรื่องเงินมาข่มกันอย่างนี้ “เต้ ดิจิทัล” ก็สุดจะทน ต้องกลับไปสวมบท “เต้ พระราม 7” ทันที ...รีบโทร.หา “สิระ” แบบรัวๆ แต่ “สิระ” ไม่รับสาย...เมื่อไม่รับสายก็ต้องท้าทายผ่านข้อความ...“ถ้าแน่จริงมาเจอกัน” ... คราวนี้ “สิระ” ปิดเครื่อง !!

ระหว่างนี้ “เต้ พระราม 7” ก็เดินพล่านตามหาไปทั่วสภาฯ ทำเอาบรรดา ส.ส.ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน พยายามพูดจาเอาน้ำเย็นเข้าลูบแต่ไม่ได้ผล เมื่อตามหาในสภาฯไม่เจอ ก็กำหมัดประกาศกร้าวจะไปดักรอที่ทางออกรัฐสภา ทำเอานักข่าว ช่างภาพไปตั้งกล้องรอช็อตเด็ด ... ปรากฏว่า “สิระ” ออกจากสภาฯ ไปแล้ว

เมื่อเล่น “ตีหัวเข้าบ้าน” อย่างนี้ ก็ต้องประกาศให้รู้กันทั้งโซเชียลฯ คราวนี้ “เต้ ดิจิทัล” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก... ไอ้สิระ กูเจอมึงที่ไหน กูจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก รู้จักกูน้อยไป... หลังโพสต์ข้อความบรรดาแฟนเพจ ก็เข้ามาแสดงความเห็นกันหลากหลาย.. ทั้งกดไลก์ ให้ใจเย็นๆ เปิดอัตราต่อรอง บางคนบอกให้สิระ ระวังตัว เพราะสมัยเรียน 30 ต่อ 1 เต้ ก็ลุยมาแล้ว ...

ต่อมานักข่าวโทร.ไปถาม “สิระ” ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจะลงเอยไงดี ก็ได้รับคำตอบว่า...เห็นข้อความที่โพสต์ทั้งหมดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เตรียมไปแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหาข่มขู่ ...ที่เหลือก็ให้สังคมไปตัดสินกันเอาเอง

เรื่องราวสีสันการเมืองที่ร้อนแรง ระหว่าง 2 ส.ส. จะลงเอยอย่างไร จะมีบทถ่ายรูปกอดคอกันหรือไม่ ต้องติดตาม !!




กำลังโหลดความคิดเห็น