xs
xsm
sm
md
lg

เฉลยแล้ว “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ ตัวละครลับ เอี่ยวเปลี่ยนความเร็ว และว่าด้วยพยานกลับชาติมาเกิด พลิกคดีบอส ** เช็กบิล “กมธ.สนช.” ตัวการสำคัญพลิกคดีบอส เรดบูล

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์







ข่าวปนคน คนปนข่าว

** เฉลยแล้ว “บิ๊กอ๊อด พล.ต.อ.สมยศ ตัวละครลับ เอี่ยวเปลี่ยนความเร็ว และว่าด้วย พยานกลับชาติมาเกิด พลิกคดีบอส กัปตันสอาด พูดแล้วไม่เคยพบ พล.อ.ท.จักรกฤช

คดี “บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา” ขับรถชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” เสียชีวิตเมื่อปี 55 ซึ่งกลับมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง

เนื่องเพราะการสั่งไม่ฟ้องมีปมที่หลายฝ่ายสงสัย และหนึ่งในนั้นคือ “พยานกลับชาติมาเกิด” 2 คน ที่โผล่เข้ามาในตอนหลัง คือ “จารุชาติ มาดทอง” และ “พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร” โดยคนแรกนั้นเพิ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุไปไม่นานมานึ้ ขณะที่ พล.อ.ท.จักรกฤช ไม่มีความเคลื่อนไหวออกมา แต่ก็มีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์เชื่อมโยงพบว่า พล.อ.ท.จักรกฤช มีความใกล้ชิดกับตระกูลอยู่วิทยา ผ่านทางแม่ของบอส “ดารณี อยู่วิทยา” ในฐานะเป็นครอบครัวทัพฟ้าด้วยกัน ซึ่งเมื่อ พล.อ.ท.จักรกฤชไปเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ก็มี “ตัวละคร” ที่ถูก พล.อ.ท.จักรกฤชเอ่ยถึง คือ “พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต” หรือเสธ.ไอซ์, พล.อ.ท.สุรเชษฐ ทองสลวย, พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ อดีต ผบ.ทอ. และ ร.อ.สอาด ศบศาสตราศร

เพจ “สำนักข่าวอิศรา” ได้โพสต์ระบุถึงในคำให้การของ พล.อ.ท.จักรกฤช ต่อสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ วันที่ 28 ก.ค. 58 ซึ่งเป็นเอกสารจากรายงานเรื่องร้องเรียนของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ที่ร้องขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลยพินิจของพนักงานอัยการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อ กมธ.กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สนช. เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 59

ในเอกสารคำให้การของ พล.อ.ท.จักรกฤช ระบุว่า “ร.อ.สอาด” เป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นพี่ซึ่งคุ้นเคยกันดี และเป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาบริษัท บางกอก เอวิชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด และยังระบุว่า ร.อ.สอาด ได้เดินทางมาพบที่บ้านพักและขอให้ตนเองไปให้การเป็นพยานกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับคดีนี้ หลังจากในเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 58 พล.อ.ท.จักรกฤชได้เดินทางไปพบ ร.อ.สอาด และได้เล่าให้ ร.อ.สอาด ฟังว่าตนเองและ พล.อ.ท.สุรเชษฐ ทองสลวย ได้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุในคดีนี้ด้วย

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
ขณะที่ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา พยายามโทรศัพท์ติดต่อขอสัมภาษณ์ “ร.อ.สอาด” ถึงเรื่องนี้ ปรากฏว่า ร.อ.สอาด ปฏิเสธว่าไม่ได้ไปพบ พล.อ.ท.จักรกฤช ที่บ้านจริงตามคำให้การเลย ขณะที่ในคำให้การของ พล.อ.ท.จักรกฤช มีข้อมูลส่วนที่ระบุว่า ร.อ.สอาด เห็นใจนายเฉลิม อยู่วิทยา บิดาของบอส ได้พูดประเด็นนี้กับ พล.อ.ท.จักรกฤช หรือไม่? ร.อ.สอาดเพียงตอบว่า กินข้าวกินปลาอะไรด้วยกันตลอด
ต้องบอกว่า เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งต่อคำถามที่ว่า พยานปากเอกในคดีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และเพจสำนักข่าวอิศรายังระบุแหล่งขาวที่ใกล้ชิดกับ ร.อ.สอาด เปิดเผยอีกว่า สำหรับ พล.อ.ท.จักรกฤช นั่นถือเป็นเพื่อนตาย หรือเพื่อนที่สนิทกันมากกับน้องชายของดารณี อยู่วิทยา ภรรยาเฉลิม อยู่วิทยา ซึ่งน้องชายคนนี้ของนางดารณีเสียชีวิตไปแล้ว เป็นทหารบกรุ่นเดียวกันกับ พล.อ.ท.จักรกฤช เป็นเพื่อนรักที่อยู่ต่างเหล่า
พูดง่ายๆ ว่า พล.อ.ท.จักรกฤช เป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นน้องของ ร.อ.สอาด แล้วทหารบกที่เป็นน้องชายของนางดารณี ภรรยานายเฉลิม เป็นเพื่อนรักของ พล.อ.ท.จักรกฤช




นอกจากปม “พยานกลับชาติมาเกิด” แล้ว อีกปมหนึ่งที่เชื่อกันว่า ทำให้คดีพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ก็คือ ความเร็วรถของบอสในวันนั้น ซึ่งปรากฏในสำนวนคดีว่าขับไม่เกิน 80 กม./ชม. แต่ภายหลังไม่กี่วันก่อน “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น” ตำรวจพิสูจน์หลักฐานคดีบอส ได้ชี้แจง กมธ.กฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า ได้รับแรงกดดันจากผู้บัญชาการระดับสูง จนต้องกลับความเห็นความเร็วรถจาก 177 เหลือ 79.22 กม.ต่อ ชม. แต่เมื่อพบความผิดพลาดของการคำนวณ 40% จึงพยายามขอแก้ไขในสำนวนแต่ไม่ทัน
คำชี้แจงของ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” เหมือนทิ้งระเบิดลงกลางวง ขณะที่ยังบอกว่ามี “ผู้ใหญ่” ได้พา “ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม” มาพบในห้องทำงานของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วย และนำสมมติฐานของคดีว่าเป็นวิธีใหม่ที่คำนวณได้ และนำส่งเอกสาร 10 หน้า ที่ระบุความเร็วที่ 79.22 กม./ชม.

พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น
เรื่องนี้ทำให้โซเชียลฯ วิพากษ์วิจารณ์กันว่า “ผู้ใหญ่” ตัวละครลับนี้คือใคร? คำตอบมีออกมาจากที่ “รังสิมันต์ โรม” ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเมื่อวันก่อน โดยระบุถึง “เอกสารชี้แจงลำดับเหตการณ์ กรณีคำนวณความเร็วรถนายวรยุทธ อยู่วิทยา” 
 
เฉลยตัวละครลับผู้พา ดร.สายประสิทธิ์ มาเจอ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ จนทำให้ความเห็นเรื่องความเร็วในคดี บอส อยู่วิทยา เปลี่ยนไปว่า คือ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง” อดีต ผบ.ตร.นั่นเอง!!

โดยไทม์ไลน์ที่บันทึกในเอกสารระบุว่า พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ (ยศในขณะนั้น) เป็นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สตช. ที่ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ และเป็นผู้ออกรายงานการตรวจพิสูจน์ ยืนยันความเร็วที่ 177 กม./ชม. ลงวันที่ 26 ก.ย. 55 
 
หลังจากนั้นอีก 4 ปี คือ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 59 พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี ผกก.สอบสวน สน.ทองหล่อ ได้เดินทางมาพร้อมกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และ ดร.สายประสิทธิ์ ขอเข้าพบ พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก ผบ.สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ที่สำนักงานของ พล.ต.ท.มนู 
 
ในวันเดียวกันนั้น พล.ต.อ.สมยศ ได้แนะนำ ดร.สายประสิทธิ์ ให้ผู้แทนกองพิสูจน์หลักฐานกลางทำความรู้จัก และแจ้งว่า ดร.สายประสิทธิ์ มีสมมติฐานอีกวิธีมานำเสนอ การหาอัตราความเร็วของรถยนต์ที่นายวรยุทธเป็นผู้ขับขี่ โดยนำเสนอรายงานการวิเคราะห์ 10 หน้า ระบุความเร็ว 79.22 กม./ชม. และได้มอบเอกสารดังกล่าวให้กับกองพิสูจน์หลักฐานกลาง 
 
ในวันเดียวกันนั้น ได้มีการสั่งการให้ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ เข้าร่วมพิจารณากับ พ.ต.อ.วิรดล ในสำนักงานกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่ง พ.ต.อ.วิรดลได้ส่งเอกสารสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ลงวันที่ 14 ม.ค. 59 โดยข้อความท้ายหนังสือดังกล่าว ระบุว่า ให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีสอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ และส่งผลการสอบสวนให้พนักงานอัยการภาย ในวันที่ 12 ก.พ. 59 พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ได้มีการคำนวณความเร็วตามสมมติฐานของ ดร.สายประสิทธิ์ ในกระดาษอีกแผ่น ซึ่งได้ค่าใกล้เคียงกัน พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ ลงนามไว้ว่าเป็นการคำนวณของตนเอง

พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร - วรยุทธ อยู่วิทยา
พร้อมกันนั้น พ.ต.อ.วิรดล ให้ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ ให้ปากคำเรื่องการคำนวณตามสมมติฐานของดร.สายประสิทธิ์ โดยถามถึงความคลาดเคลื่อน ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการคำนวณตามรายงานการตรวจพิสูจน์ เมื่อ 26 ก.ย. 55 ที่ได้ 177 กม./ชม. ซึ่ง พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ ได้ให้ปากคำว่า อาจเกิดขึ้นได้ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ส่วนในเรื่องความคลาดเคลื่อนตามสมมติฐานของ ดร.สายประสิทธิ์ ซึ่งในเวลานั้นเพิ่งได้เห็นสมมุติฐานของ ดร.สายประสิทธิ์ เป็นครั้งแรก จึงไม่สามารถบอกได้ว่า มีความคลาดเคลื่อนหรือความบกพร่องอย่างไร 
 
พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ ได้ให้ปากคำในวันนั้น จนถึงเวลา 22.00 น. สุดท้ายจึงลงนามในเอกสาร 2 ฉบับ ฉบับแรก ลงวันที่ 26 ก.พ. 59 อีกฉบับ ลงวันที่ 2 มี.ค.59 โดยมีการให้เหตุผลว่า ถูกเร่งรัดให้รีบดำเนินการ 
 
ต่อมา 29 มี.ค. 59 พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ นำรายงานการคำนวณของ ดร.สายประสิทธิ์ มาให้ ร.ต.อ.ชวลิต ร.ต.ท.ปิยวัฒน์ ตรวจสอบ พบว่า การกำหนดให้ค่าตัวแปรต่างๆ ของ ดร.สายประสิทธิ์ ผิดไปจากความเป็นจริงมาก จึงทำให้ความเร็วที่ได้เท่ากับ 79.22 กม./ชม. ซึ่งเป็นค่าคำนวณที่ไม่ถูกต้อง จึงได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาขอให้ประสานไปยัง พ.ต.อ.วิรดล ผกก.สอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อขอให้ปากคำเพิ่มเติม ยืนยันผลการตรวจพิสูจน์ ที่ 177 กม./ชม. ตามรายงานเดิม ซึ่งในวันนั้น ผู้บังคับบัญชาได้โทร. ประสาน พ.ต.อ.วิรดลทันที แต่ พ.ต.อ.วิรดล ปฏิเสธว่า ไม่สามารถสอบปากคำเพิ่มเติมได้ และได้ส่งเอกสารการให้ปากคำให้กับพนักงานอัยการแล้ว พร้อมทั้งยังได้อ้างเหตุว่า คดีเรื่องขับรถเร็วขาดอายุความไปแล้ว ทำให้ผู้บังคับบัญชา และ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ สำคัญผิดว่าเอกสารดังกล่าวไม่ถูกใช้ในสำนวนแล้ว แต่ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ ยืนยันกับผู้บังคับบัญชาว่าจะให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อความถูกต้องในสำนวน

ร.อ.สอาด ศบศาสตราศร
ต่อมา 21 ก.ค. 59 พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ได้เดินทางไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อเข้าร่วมการประชุม กมธ.กฎหมายฯ สนช. แต่เมื่อไปถึงห้องประชุม ได้มีเจ้าหน้าที่สภามาแจ้งว่าขอเลื่อนการประชุมออกไปก่อน และไม่เคยมีใครติดต่อไปจนปัจจุบัน
ต่อมา 11 ส.ค. 60 และ 4 ก.ย. 60 พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เดินทางไปให้ถ้อยคำกับจเรตำรวจ และสำนักงาน ป.ป.ช. และได้แจ้งว่าขอเพิ่มเติมความเห็นในกรณีความเร็วของรถ ว่าสามารถพบความบกพร่องของสมมติฐานในการคำนวณความเร็วของ ดร.สายประสิทธิ์ ดังนั้น ความเร็ว 79.22 กม./ชม. จึงไม่ถูกต้อง ซึ่งทั้งมีบันทึกคำให้การถูกคัดถ่ายเป็นสำเนาไว้
ดังนั้น ในความเห็นของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เขายืนยันว่าไม่ได้กลับคำให้การในเรื่องการคำนวณความเร็วแต่อย่างใด
งานนี้เรื่องพยาน และความเร็วรถ ที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงของคดี ยิ่งสาวก็ยิ่งเจอ
จับพิรุธเป็นตอผุดขึ้นมาเรื่อยๆ กันเลยทีเดียว



** เช็กบิล กมธ.สนช. ตัวการสำคัญพลิกคดีบอส เรดบูล “รสนา” เปิดเอกสารประชุมและส่งอัยการ ชี้ชัดมี “ไอ้โม่ง” ดันสุดฤทธิ์

รสนา โตสิตระกูล
ติดตามกันมาว่า เบื้องหลังการสั่งไม่ฟ้องของคดีบอส วรยุทธ อยู่วิทยา ที่พื้นที่ตรงนี้ฉายให้เห็นว่า มีกระบวนการช่วยเหลือกันเป็น “ทีมวิ่งผลัด” โดยมีแกนสำคัญคือ การใช้กรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตํารวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นตัวขับเคลื่อน

ภายใต้การทำงาน กมธ.สนช.ก็รู้ๆ กันว่า มีบุคคลใกล้ชิดเครือข่ายใหญ่กันหลายคนประสานเสริมกับทีมฎหมายมือดีของตระกูลอยู่วิทยา นั่นเป็นที่มาว่า ทำไมจึงมีการประวิงเวลา เล่นชักเย่อ เมื่อมีคนขอให้ “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาฯ เปิดเผยเอกสารการประชุมเกี่ยวกัลการพิจารณาร้องขอความเป็นธรรมของ “บอส” ของ กมธ.สนช.ชุดนั้น 
 
โดยเฉพาะการร้องขอของ “รสนา โตสิตระกูล” อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ได้ยื่นหนังสือขอเอกสารดังกล่าว ที่ยื่นไปนาน แต่เพิ่งจะได้รับเอกสารมา และเมื่อวันก่อน (15 ส.ค.) น.ส.รสนาได้โพสต์ภาพเอกสารกรรมาธิการ สนช.ดังกล่าว พร้อมแสดงความเห็นทางเฟซบุ๊ก รสนา โตสิตระกูล ว่า “คดี วรยุทธ อยู่วิทยา คือกระบวนการสมคบคิด ตัดตอนคดี ใช่หรือไม่?” 
 
ในเอกสารรายงานบันทึกการประชุม และหนังสือนำส่งอัยการของ กมธ.สนช.นั้น “รสนา” สรุปว่า สาระหลักในรายงานพิจารณาศึกษาสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ของ กมธ.สนช. อยู่ที่การนำเสนอเรื่องความเร็วรถที่ “บอส” ขับชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” ถึงแก่ความตาย ว่าเป็นการขับในความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. จึงไม่ใช่การขับรถโดยประมาทที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต แต่เป็น “เหตุสุดวิสัย” ที่ผู้ตายขับรถสวนเลนเข้ามากะทันหัน พร้อมพยานบุคคลที่มายืนยันเรื่องความเร็วรถ ตามที่ปรากฏเป็นข่าว

หลังจากที่ กมธ.สนช.ประชุม และตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายวรยุทธ อยู่วิทยา เรื่องร้องขอความเป็นธรรม กรณีการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมี “ธานี อ่อนละเอียด” เป็นหัวหน้าคณะทำงาน 
 
การทำรายงานของ “ธานี อ่อนละเอียด” คือการแสดงหลักฐานว่าความเร็วรถที่ “บอส” ขับไม่เกินกฎหมายกำหนด และมีพยานบุคคลทั้งนักวิชาการอย่าง ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม มาคำนวณความเร็วรถ และพยานบุคคลอีก 2 คน ที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ที่บอสขับรถแค่ 50-60 กม./ชม. 
 
หลังจากทำรายงานเสร็จ ประธานคณะกรรมาธิการ “พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ” ได้ลงนามหนังสือนำส่งพร้อมรายงานไปถึงอัยการสูงสุด และ ธิบดีอัยการสำนักคดีอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งมีหนังสือไปถึงอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการฯ 2 ครั้ง 
 
ครั้งแรกเมื่อ 22 ธ.ค. 59 ในหนังสือนำส่งอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พร้อมรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องความเร็วของรถนายวรยุทธ อยู่วิทยา 
 
ครั้งที่ 2 วันที่ 9 ก.พ. 61 หนังสือทวงถามผลการพิจารณาจากอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เกี่ยวกับผลของคดีของบอส 
 
ต่อมาวันที่ 15 ก.พ. 61 อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้ตอบคณะกรรมาธิการฯ ว่า กรณีขอให้สอบสวน ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ได้มีการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว และได้เสนอเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องให้อัยการสูงสุดพิจารณา ซึ่งต่อมาอัยการสูงสได้พิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม

ต่อมาวันที่ 23 พ.ค. 61 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตอบ กมธ.สนช. โดยสรุปว่า อัยการสูงสุด (ร.ต.ต พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร) ได้พิจารณาความเห็นของ

ธานี อ่อนละเอียด
ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม เห็นว่าเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่ยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ส่วนหลักฐานอื่นได้พิจารณายุติไปแล้ว และเห็นว่าความเห็นของ ดร.สายประสิทธิ์ “ไม่ใช่ประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์” และความเห็นของพยานเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของพยานเท่านั้น ซึ่งจะรับฟังได้ต่อเมื่อสอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่น โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในขณะเกิดเหตุ และเมื่อพิจารณาจากสภาพรถยนต์ของผู้ต้องหาที่ 1 ขับหลังเกิดเหตุ มีร่องรอยความเสียหายภายนอกด้านหน้า ตัวถัง และอุปกรณ์ภายในห้องเครื่อง เช่น หม้อน้ำระบายความร้อนของรถยนต์ ท่อยาง กระปุกน้ำมันเพาเวอร์แตก ฉีกขาด ถุงลมนิรภัยทั้ง 2 ข้างที่อยู่ด้านหน้าทำงานจากแรงกระแทก...พบเศษผมผู้ต้องหาที่ 2 ติดกับกระจกบังลมหน้า ของรถยนต์ทางซ้ายที่ถูกกระแทกยุบเข้าไปในตัวรถ และเครื่องหมายบนเครื่องแต่งกายผู้ต้องหาที่ 2 ตกอยู่ในช่องปัดน้ำฝน แสดงว่าร่างกายผู้ต้องหาที่ 2 กระเด็นไปกระแทกเข้ากับกระจกบังลมของรถยนต์จนเสียหาย และตกลงไปที่พื้นห่างจากจุดชน ประมาณ 64.8 เมตร ส่วนจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ ครูดไถลไปตามพื้นถนนไปหยุดที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ห่างจากจุดชนประมาณ 164.45 เมตร และยังมีพยานปาก “นายมีทุย” หรือหม่อง ให้การยืนยันว่า ได้ยินเสียงดังคล้ายรถชน มีเสียงรถถูกลากไปกับพื้นถนนต่อเนื่องยาว มองไปเห็นรถเก๋งคล้ายรถแข่ง ชนจักรยานยนต์ที่ล้มติดอยู่กับกันชนหน้าลากไถลไปกับพื้น มีสะเก็ดไฟที่ถูไปกับพื้นถนนเป็นระยะ จนถึง ซอยสุขุมวิท 49 รถเก๋งเบรกกะทันหัน จึงทำให้รถจักรยานยนต์กระเด็นหลุดออกจากกันชน 
 
พยานปากนี้ให้การในวันเกิดเหตุที่ 3 ก.ย. 55 หลังเกิดเหตุทันที จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของผู้ต้องหาที่ 1 ร้องขอความเป็นธรรมจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐาน ที่ฟังว่าผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์ประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พนักงานอัยการ มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 แล้วอัยการสูงสุด (ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร) จึงมีคำสั่งเมื่อ 26 เม.ย. 60 ให้ “ยุติเรื่องขอความเป็นธรรม” 
 
แต่ทนายของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ยังขอความเป็นธรรมอีก โดยขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม คือ “ธานี อ่อนละเอียด” สมาชิก และกมธ. สนช. 
 
แต่คำให้การของ “ธานี อ่อนละเอียด” ไม่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้! 
 
วันที่ 17 ต.ค. 61 (เป็นเอกสารชิ้นสุดท้าย ในรายงาน กมธ.สนช.ที่ได้รับมา) สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตอบ กมธ.สนช.ว่า อัยการสูงสุดได้ตรวจสอบและพิจารณาแล้ว (น่าจะรวมถึงคำให้การของนายธานี อ่อนละเอียด) มีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรม เนื่องจากผลการสอบสวนเพิ่มเติม ไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งฟ้องของพนักงานอัยการได้ และได้แจ้ง นายธนิต บัวเขียว ทนายความนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ร้องทราบแล้ว 
 
จะกล่าวได้หรือไม่ ว่าการเปลี่ยนแปลงหลักฐาน เรื่องความเร็วรถในคดี “วรยุทธ อยู่วิทยา” เป็นกระบวนการสมคบคิด ?!! 
 
เริ่มต้นจากรายงานพิจารณาศึกษาสอบสวนข้อเท็จจริง เรื่องร้องเรียนของนายวรยุทธ อยู่วิทยา เป็นการสร้างสตอรีใหม่ที่เปลี่ยนหลักฐานเรื่องความเร็วรถที่ “วรยุทธ” ขับ ให้ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด โดยอาศัยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย มาสร้างหลักฐานการคำนวณความเร็วรถ จาก 177 กม./ชม. เหลือ 79.23 กม./ชม. และอาศัยพยานบุคคล 2 คน มายืนยันซ้ำว่า “วรยุทธ” ขับรถด้วยความเร็วเพียง 50-60 กม./ชม. โดยไม่สนใจว่าหลักฐานสมจริง หรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนข้อหาให้ “วรยุทธ อยู่วิทยา” จากขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นขับรถด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด และการชนผู้อื่นตายเป็นเหตุสุดวิสัย โยนความผิดให้ผู้ตายว่า ขับรถโดยประมาทเองจนเสียชีวิต ...ใช่หรือไม่ 
 
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการใช้รายงานของ กมธ.สนช. ทำให้อัยการสูงสุด 2 คนก่อน สั่งไม่ฟ้อง ดังนั้นหลังจากหนังสือที่อัยการสูงสุด ส่งถึง กมธ.สนช.เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 61 แล้ว การร้องขอความเป็นธรรมในคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ก็เงียบหายไป 1 ปี เสมือนรอการเปลี่ยนตัวอัยการสูงสุดคนใหม่ ใช่หรือไม่ 
 
หลังจากมีการเปลี่ยนตัวอัยการสูงสุดมาเป็นคนปัจจุบัน เมื่อเดือน ต.ค. 62 การหยิบยกคดีของ “วรยุทธ อยู่วิทยา” ก็กลับมาใหม่ แต่ข้อมูลส่วนนี้ ไม่ปรากฏในเอกสาร กมธ.สนช.ที่ “รสนา” ได้รับมาว่าใครเป็นผู้นำรายงานของ กมธ.สนช. มาขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดคนใหม่ อีกครั้งในปี 2562!? 
 
ใครคือผู้ยื่นรายงานของ กมธ.สนช. ซึ่งเป็นหลักฐานเก่าที่ถูกอัยการสูงสุด 2 คนก่อนหน้านี้ ปัดตกไปหมดแล้ว มาขอความเป็นธรรมอีกครั้ง ต่ออัยการสูงสุดคนปัจจุบัน 
 
ดังนั้น การ “สั่งไม่ฟ้อง” ครั้งนี้จึงไม่ใช่มีหลักฐานใหม่ แต่เป็นการใช้ “อำนาจ” ในนามของ “ดุลพินิจใหม่” จาก “หลักฐานเก่า” จนสามารถพลิกคดีเป็นการ “สั่งไม่ฟ้อง”

คงต้องขอให้ “อาจารย์วิชา มหาคุณ“ ช่วยหาว่า ใครคือไอ้โม่งที่นำเอกสารเดิมของ กมธ.สนช.มายื่นใหม่จนคดีพลิก !? 
 
“สิ่งที่เกิดขึ้นนี้พอจะเรียกได้หรือไม่ว่าเป็นขบวนการสมคบคิด สร้างหลักฐานเพื่อตัดตอนคดีไม่ให้ไปสู่ศาล ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหามีคดีติดตัว กลายเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยอำนาจเงิน และคอนเนกชัน ใช่หรือไม่” 
 
นี่คือหลักฐาน และพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่า เหตุอัยการสั่งไม่ฟ้องบอสนั้นอยู่ที่การทำงานของ กมธ.สนช.จริงๆ 
 
จะเรียกว่า เช็กบิล กมธ.สนช.ก็ว่าได้.




กำลังโหลดความคิดเห็น