xs
xsm
sm
md
lg

ชัดเลย!! จากปากคำตำรวจไล่ไทม์ไลน์ เหตุเปลี่ยนความเร็วรถบอส จนคดีพลิก มีมือดี “กมธ.สนช.” อุ้ม “ดร.สายประสิทธิ์” ส่งผลคำนวณที่ต้องการยัดลงสำนวน ** รัฐมนตรี “ทีมลุงตู่-ลุงป้อม” ร่วมถ่ายภาพประวัติศาสตร์ บรรยากาศชื่นมื่น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์







ข่าวปนคน คนปนข่าว



**ชัดเลย!! จากปากคำตำรวจไล่ไทม์ไลน์ เหตุเปลี่ยนความเร็วรถบอส จนคดีพลิก มีมือดี “กมธ.สนช. อุ้มดร.สายประสิทธิ์ ส่งผลคำนวณที่ต้องการยัดลงสำนวน

คดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” เสียชีวิต เหตุเกิดปี 55 ที่ผ่านมากว่า 8 ปี ก็ว่ากันว่า มีกระบวนการวิชามารช่วยเหลือทายาทธุรกิจแสนล้านให้พ้นผิดตั้งแต่ต้น โดยรับส่งไม้กันเป็นทีมเป็นทอดๆ ทั้งทีมกฎหมาย ทนายตระกูลอยู่วิทยา มาตำรวจไม่ตั้งข้อกล่าวหาบางข้อหา ประวิงเวลาเพื่อให้บางข้อหาหมดอายุความไปเอง เรื่อยมาจนถึงการยืมช่อง “ร้องขอความเป็นธรรม” เพื่อพลิกคดีจาก กรรมาธิการการกฎหมายฯ ของ สนช. ที่ตั้งในยุค คสช. ก่อนจะส่งผลสรุปต่อให้อัยการ และ สั่งไม่ฟ้องในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมานี้

ว่ากันว่า ประเด็นสำคัญที่ถูกชงเพิ่มเข้ามาเพื่ออุดช่องโหว่ ทำให้ “คดีบอส” พลิกได้นั้น มาจากการหา “พยานกลับชาติมาเกิด” 2 ปาก ที่โผล่มาให้การเรื่องความเร็วรถของบอส และการคำนวณของ “ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม” หัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ปรากฏในสำนวนตำรวจ

เดิมทีตอนแรกมีรายงานว่า ขับมาในความเร็วสูงกว่า 177 กม./ชม. แต่ตอนหลังกลับลำในสำนวน ลดเหลือไม่เกิน 80 กม./ชม. จนอัยการเชื่อว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องการขับรถโดยประมาทชนคนตาย ซึ่งจะมีโทษหนัก

ล่าสุด มีประเด็นจากการประชุม กมธ.กฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร ที่เรียกผู้เกี่ยวข้องในคดีมาชี้แจง ก็ปรากฏว่า “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น” นักวิทยาศาสตร์ สบ 4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ชี้แจงและยอมรับว่า การคำนวณความเร็วรถครั้งแรกได้ 177 กม./ชม. แต่ที่ในสำนวนเป็น 79.2 กม./ชม. เพราะเชื่อการคำนวณของ “ดร.สายประสิทธิ์” ซึ่งเห็นว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีชื่อเสียง ประกอบกับมีเวลาในการพิจารณาสำนวนน้อย จึงเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ

ข้อกังขาเกี่ยวกับความเร็วของรถเฟอร์รารี่ กับการเปลี่ยนแปลงคำให้การนี้ ฟังว่า “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ได้ย้อนไทม์ไลน์ สรุปเหตุการณ์ว่า วันที่ 3 ก.ย. 55 วันเกิดเหตุ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ได้ลงพื้นที่ไปตรวจพิสูจน์หลักฐาน และได้ทำรายงานเรื่องความเร็วได้ 177 กม./ชม. จากการวัดพื้นที่จริง โดยมี “ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์” จากจุฬาฯ เป็นผู้ควบคุม และมีการคำนวณสอดคล้องกัน

วันที่ 26 ก.ย. 55 ได้สรุปรายงานพิสูจน์ร่องรอยการเฉี่ยวชน และรายงานต่อผู้บังคับบังบัญชาเพื่อใช้ในสำนวน ยืนยันความเร็วรถก็ยังอยู่ที่ 177 กม./ชม.

วันที่ 26 ก.พ. 59 “พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี” ผกก.(สอบสวน) สน.ทองหล่อ ได้มาที่ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พร้อมกับบุคคลคนหนึ่งซึ่งได้นำ “ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม” มาพบ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ที่ห้องทำงานของผู้บังคับบัญชาหน่วยงานที่อยู่ระดับสูง ซึ่งบุคคลนั้นได้ผู้แนะนำตัว “ดร.สายประสิทธิ์” รวมถึงอธิบายเอกสารวิธีการ ขั้นตอนการคิดคำนวณความเร็วรถของ “ ดร.สายประสิทธิ์” ที่มีเพียง 10 แผ่น ที่คำนวณมาแล้วว่า ได้ความเร็ว 79.22 กม./ชม.

พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น - ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม
สำหรับ “ดร.สายประสิทธิ์” เคยมาคำนวณคดี ของ “เสี่ยชูวงษ์” เมื่อปี 58 มาแล้ว และ 14 ม.ค. 59 พนักงานอัยการให้สอบสวนเพิ่มเติมในกรณีความเร็ว แต่กำหนดให้ส่งกลับให้อัยการ 12 ก.พ. 59 ซึ่งมีเวลาเพียง 14 วัน ซึ่งผู้กำกับสอบสวนคดีจึงแจ้งว่า ต้องรีบสอบปากคำ ทำให้ต้องเอาข้อมูลของ “ดร.สายประสิทธิ์” เข้าไปให้การในทางวิชาการในสำนวน เพราะเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ ว่า “ดร.สายประสิทธิ์” เป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่หลังจากนั้น ได้มีการตรวจสอบความถูกต้องรายงานของ “ดร.สายประสิทธิ์” พบว่ามีความผิดพลาดมากถึง 46%
จากนั้น วันที่ 29 มี.ค. 59 พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ จึงแจ้งต่อผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง เพื่อข้อให้ปากคำเพิ่มเติมว่าไม่ถูกต้อง แต่เมื่อติดต่อไปทาง “พ.ต.อ.วิรดล” ผู้กำกับสอบสวน สน.ทองหล่อ แจ้งว่า ได้ส่งสำนวนให้อัยการแล้ว หมดหน้าที่ของตำรวจแล้ว อีกทั้งคดีความเร็ว ขาดอายุความไปแล้ว “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” จึงมีความเชื่อว่าสอบไปแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร
“พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ย้ำว่า ได้พยายามถึงที่สุดแล้วที่ต้องการจะขอแก้ไขคำให้การ ซึ่งการพิจารณาให้ความเป็นธรรมในชั้นกรรมาธิการของ สนช. ได้เชิญมาร่วมประชุม 1 ครั้ง แต่ไม่มีการให้ชี้แจงใดๆ บอกเพียงว่า จะเรียกมาชี้แจงใหม่ แต่ก็ยังไม่มีการเรียกให้ไปชี้แจงใดๆ จนถึงตอนนี้
ฟังว่า ประเด็นนี้ กมธ. ได้สนใจซัก “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ทำไมไม่แย้งคำให้การ ซึ่ง พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แจ้งว่า หลังจากนั้น 11 ส.ค. 59 ได้ไปให้ปากคำต่อจเรตำรวจ ยืนยันความเร็วว่า เป็นไปตามรายงานเดิม คือ 177 กม./ชม. ไม่ใช่ 79 กม./ชม. ตามรายงานของ “ดร.สายประสิทธิ์” และได้ให้ปากคำเรื่องนี้ ต่อ ป.ป.ช. มาแล้ว
แว่วว่า บุคคลที่นำ “ดร.สายประสิทธิ์” มาพบตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ในปี 59 นั้น มีความเกี่ยวข้องในกรรมาธิการ ยุค สนช.ด้วย ซึ่งสื่อพยายามถาม “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” หลังชี้แจงแต่ก็ไม่ยอมเปิดเผย บอกเพียงว่าผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาตให้เปิดเผย
จากปากคำของ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” และไทม์ไลน์การเปลี่ยนความเร็วรถให้ปรากฏในสำนวนตำรวจ โดยที่อัยการก็เชื่อตามนี้ โดยไม่ได้เอะใจ หรือสงสัย หรือคิดจะเปรียบเทียบกันหลายๆ คน งานนี้จึงเชื่อได้ว่า ทั้งหมดที่อัยการสั่ง “ไม่ฟ้องบอส” เป็นการคิดและวางแผนโดยทีมทนาย และใช้ กมธ.สนช. ที่มีเครือญาติของเครือข่ายใหญ่นั่งเป็นประธานเป็นเครื่องมือบิดเบือนข้อเท็จจริง อย่างที่คนสงสัยก่อนหน้านี้ ชนิดที่ว่า ต้องตามต่อกันว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นมั้ย ?



** รัฐมนตรีทีมลุงตู่-ลุงป้อม ร่วมถ่ายภาพประวัติศาสตร์ บรรยากาศชื่นมื่น ก่อนเริ่มงานที่ต้องฟันฝ่าสารพัดวิกฤต...ขอให้โชคดี


หลังจาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำรัฐมนตรีที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา ...การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้กำลังใจ ให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ ประชาชน ให้ทุกคนมีความสุข มีความพึงพอใจ
วานนี้ (13 ส.ค.) “ครม.ลุงตู่ 2/2” ครบชุด ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ ... แต่ก่อนที่จะมีการประชุม ครม. ก็ต้องมีการถ่ายภาพหมู่ “ครม.ชุดใหม่” ที่มีตึกไทยคู่ฟ้าเป็นแบ็กกราวนด์ ไว้เป็นที่ระลึก เป็นเกียรติประวัติกันก่อน... บรรยากาศในช่วงเช้าที่ทำเนียบรัฐบาลจึงเป็นไปอย่างคึกคัก ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายกัน โดยเฉพาะ “ลุงตู่” กับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะรัฐมนตรีใหม่ล้วนมาจาก “สายลุง”


“ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมว.ต่างประเทศ ที่ได้นั่งควบรองนายกฯอีกตำแหน่งหนึ่ง “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกฯ ควบรมว.พลังงาน “ปรีดี ดาวฉาย” รมว.คลัง นี่เป็นสายตรง “ลุงตู่” ที่จะมาเป็นมือเป็นไม้ทำงานด้านเศรษฐกิจ ... ส่วน “อนุชา นาคาศัย” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมช.แรงงาน นั้นสาย “ลุงป้อม” มาตามโควตาพรรคพลังประชารัฐ ที่ “ลุงป้อม” เป็นหัวหน้าพรรคอยู่ ... ขณะที่ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รมว.การอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม นั้นสาย “ลุงกำนัน”
ช่วงก่อนการถ่ายภาพหมู่ บรรดารัฐมนตรีได้ทยอยมายืนประจำจุดเพื่อรอผู้ที่ยังไม่มา ...และเมื่อ “ลุงป้อม” มาถึงนั่งประจำที่เสร็จสรรพ “อนุชา นาคาศัย” ส.ส.หลายสมัยและเลขาธิการพรรค ที่ได้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกก็ตรงเข้าไปกราบที่ตัก “ลุงป้อม” แทนคำขอบคุณจากใจ... บรรดาช่างภาพก็กดชัตเตอร์กันรัวๆ กับ “ช็อตเด็ด” นี้ ... ระหว่างรอรัฐมนตรีที่ยังเดินทางมาไม่ถึง “ลุงป้อม” ก็ได้กระเซ้า “ลุงตู่” แบบพี่น้อง ว่า “ให้คนแก่มารอแต่เช้า” ... ขณะที่ “ลุงตู่” ก็ปล่อยมุกเด็ด ชี้ไปที่นาฬิกาและแหวนของ “ลุงป้อม” แล้วก็ชี้ไปทางสื่อมวลชน เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าให้ระวังช่างภาพจะซูมมาที่นาฬิกากับแหวน เดี๋ยวจะมี “ดรามา” อีก ทำเอารัฐมนตรีที่อยู่ใกล้ๆ อมยิ้มไปตามๆ กัน
ช่วงเวลาแห่งความ “ชื่นมื่น” นี้เห็นได้ชัดว่า “ลุงป้อม” จะเป็นดาวเด่นกว่าใครๆ ด้วยความที่เป็นผู้อาวุโส และยังเป็นหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาล รัฐมนตรีทั้งใหม่ เก่า ต่างเข้ามาทักทาย จะลุกจะนั่ง ก็มีคนคอยประคอง...


หลังถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเสร็จแล้ว “ลุงตู่” ก็กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานกัน และขอให้โชคดี... จากนั้นก็นำคณะรัฐมนตรีเข้าสู่ห้องประชุม ที่ตึกสันติไมตรี และก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น “ลุงตู่” ยังเปิดโอกาสให้ช่างภาพ สื่อมวลชนบันทึกภาพการประชุมครั้งแรกของ “ครม.ประยุทธ์ 2/2” อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น “ลุงตู่” ยังสั่งการให้สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี จัดทำมิวสิกวิดีโอเพลง “คนดีไม่มีวันตาย” โดยใช้ภาพประกอบเป็นภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่งช่วงที่ ครม.ชุดใหม่ถ่ายภาพหมู่ นำไปเผยแพร่ในช่องทางของรัฐบาล และโซเชียลมีเดีย เพื่อโปรโมตด้วย
หลังบรรยากาศ “ชื่นมื่น” ผ่านไป ก็ถึงเวลาที่ต้องมาติดตามกันว่า “ครม.ลุงตู่ 2/2” จะบริหารบ้านเมือง และนำพาประเทศชาติ ให้พ้นจากสารพัดวิกฤต ทั้งการเมือง เรื่องม็อบ ทั้งการสาธารณสุขเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสในขณะนี้ไปทิศทางใด ซึ่งนั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ... แต่ถึงอย่างไรก็ “ขอให้โชคดี” ตามที่ “ลุงตู่” ได้อวยพรไว้




กำลังโหลดความคิดเห็น