xs
xsm
sm
md
lg

“จารุชาติ” ตายผิดธรรมชาติ! เบื้องหลัง “วิชา” ขอ "ลุงตู่” สั่งอายัดศพ ** ฝาก “ชาญศิลป์” ช่วยดูหน่อยพนักงานการบินไทยสุดเซ็ง “บิ๊กบินไทย” สั่งแต่งตั้งคนใกล้ชิดแบบเร่งรีบซ้ำเติมวิกฤต

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**“จารุชาติ” ตายผิดธรรมชาติ! เบื้องหลัง “วิชา” ขอ “ลุงตู่” สั่งอายัดศพ เปิดสัมพันธ์พยานปากเอกทำงาน กับ อดีต ส.ว. เจ้าของสโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ ยูไนเต็ด ได้เพื่อน ส.ว.ทนายตระกูล “อยู่วิทยา” ดึลสปอนเซอร์ให้ เป็นบริษัทพ่อบอส !!

กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง “คดีบอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง ขับรถชนนายดาบตำรวจเสียชีวิต โดยที่สังคมยังมีปมสงสัยอยู่มาก

รวมถึงการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุของ 1 ในพยานปากเอก “จารุชาติ มาดทอง” โดยทิ้งเงื่อนงำให้น่าสงสัยหนักขึ้นไปอีก จนหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ และต่อมา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งการให้เจ้าหน้าขออายัดศพกับญาติของจารุชาติ จากเดิมที่จะฌาปนกิจศพกันในวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงต้องเลื่อนออกไป

ว่ากันว่า คนที่ร้องขอให้ “ลุงตู่” สั่งเจ้าหน้าที่อายัดศพพยานปากเอก คือ “อาจารย์วิชา มหาคุณ” ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดี วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ของอัยการนั่นเอง เพราะตั้งข้อสังเกตว่า การตายของ “จารุชาติ” เป็นการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติ

การอายัดศพเพื่อนำกลับมาชันสูตรพลิกศพสืบหาสาเหตุการเสียชีวิต ก็เพื่อจะตอบสิ่งที่คาใจประชาชน ซึ่งน่าชื่นชม “วิชา มหาคุณ” ที่ไม่มองข้ามปมสำคัญที่สังคมกำลังเคลือบแคลง โดยเรื่องนี้ จะต้องดูให้รอบคอบ และลึกลงไปในรายละเอียดโดยเฉพาะจะต้องตรวจสอบที่มาที่ไป ให้ถูกต้องตามกระบวนการ ยิ่งหากเสียชีวิตโดยผิดปกติหรือผิดธรรมชาติ ว่าเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว หรือไม่ อย่างไร เพราะอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอยู่แล้ว เว้นแต่จะไม่ทำเท่านั้น
หากไม่ทำเรื่องนี้ ปล่อยให้เกิดความสงสัยต่อไป จะทำให้เกิดปัญหาแน่นอน !

จารุชาติ มาดทอง
ไม่เฉพาะแต่กรณี “จารุชาติ” ฟังว่า อาจารย์วิชา มหาคุณ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชื่อมั่น การทำงานตามกรอบ 30 วัน หากคณะกรรมการชุดนี้ตรวจสอบคดีเฉยๆ ก็คิดว่า 30 วัน คงจะเพียงพอทำให้สังคมเกิดความเชื่อถือ และเชื่อมั่นในระบบกระบวนการยุติธรรมไทยได้ แต่ถ้ามีความจำเป็นจะต้องเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์อาจต้องใช้ระยะเวลาต่อ
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ จะต้องรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรีทุก 10 วัน
ว่าด้วยเรื่องของ “จารุชาติ มาดทอง” อายุ 40 ปี พยานปากเอกในคดี “บอส”... ว่ากันว่า เรื่องราวค่อนข้างพิลึกพิลั่น หลังจากให้ปากคำ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 62 แล้วก็เดินทางไปทำงานที่ จ.เชียงใหม่
ต่อมาปลาย ธ.ค.ปีเดียวกัน ได้มารู้จักคนที่ชิ่อว่า “วัลลภ” พ่อค้ากุ้งที่เชียงใหม่ ก่อนตกลงกันจะว่าจ้างจารุชาติ ให้ทำงานเป็นคนรับส่งกุ้งจาก จ.สุพรรณบุรี
จากนั้น “วัลลภ” ได้แนะนำ “จารุชาติ” ให้รู้จักกับ “ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร” อดีตสมาชิกวุฒิสภา เพื่อฝากเข้าทำงาน “ชูชัย” จึงจ้างให้ “จารุชาติ” ทำหน้าที่ดูแลสนามฟุตบอล สโมสร เจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด และให้พักอาศัยที่โกดังเก็บของหลังบ้านน้องสาว ที่ย่านแม่เหี้ยะ และเป็นที่ตั้งสำนักงานทนายความนิติชัย
ถามว่า “ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร” เป็นใคร... ชูชัย เป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา เมื่อช่วงปี 51-56 เป็น ส.ว.ช่วงเวลาเดียวกับ “สมัคร เชาวภานันท์” ทนายความประจำตระกูลอยู่วิทยา ขณะนั้น “สมัคร เชาวภานันท์” เป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและตำรวจ
ที่น่าสนใจ คือตำแหน่งของ “ชูชัย” เมื่อปี 2551-2556 พบว่าในช่วงเวลานั้น เป็นประธานคณะกรรมาธิการ พิจารณาเสนอรายชื่อบุคคลที่เห็นสมควรเป็นกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ เป็น คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ด้วย

วิชา มหาคุณ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อต้นปี 2562 เป็นหนึ่งในผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือก คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ และปัจจุบันเป็นผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่
ขณะที่สถานที่ ที่เป็นที่พักพิงของ “จารุชาติ” ระหว่างทำงานที่สโมสรฟุตบอล คือ “สำนักงานทนายความนิติชัย” นั้น จากข้อมูลการจดทะเบียนประกอบกิจการ หุ้นส่วน และกรรมการของสำนักงานนิติชัยทนายความ 3 คน มีชื่อว่า. “เอกพล, กาญจนา, ภูมเรศ”
ทั้ง เอกพล และ ภูมเรศ มีชื่ออยู่ในบริษัท เจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ที่เป็นเจ้าของทีมฟุตบอล สโมรสร เจแอล เชียงใหม่ยูไนเต็ดด้วย
“เจแอล เชียงใหม่ยูไนเต็ด” เดิมคือ ช้างเผือกเชียงใหม่ ยูไนเต็ด
มี “ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร” ทนายความ และ อดีต ส.ว.เชียงใหม่ จดทะเบียนก่อตั้งเป็นนิติบุคคลในรูปแบบบริษัท เมื่อเดือน ก.ค. 2558 โดย ชูชัยเป็นประธานสโมสร
หลังจากสโมสร ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกอาชีพ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เกตติ้ง จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ขนมหวานเจลาติน ยี่ห้อ เจเล่ (Jele) ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสร จึงเปลี่ยนชื่อที่เป็น “เจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด” ตั้งแต่ฤดูกาล 2560
ว่ากันว่า สโมสรเชียงใหม่ ยูไนเต็ด ได้รับสปอนเซอร์สนับสนุน จากเครื่องดื่ม‘มูส’ผลิตภัณฑ์ในเครือของบริษัท สยามไวเนอรี่ จำกัด ที่ “เฉลิม อยู่วิทยา” พ่อของ “บอส” วรยุทธ เป็นผู้ดูแลกิจการ ดีลนี้ผ่านการแนะนำให้รู้จักโดย “สมัคร เชาวภานันท์” เพื่อน ส.ว.ของชูชัย และทนายความประจำตระกูลอยู่วิทยา เป็นผู้แนะนำให้รู้จัก เมื่อปี 2560 โดยดีลจบที่ บริษัท สยามไวเนอรี่ สนับสนุนสปอนเซอร์ ปีละ 3 ล้านบาท รวม 3 ปีประมาณ 10 ล้านบาท

ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร - วรยุทธ อยู่วิทยา

ข่าวว่า ก่อนที่ “จารุชาติ” จะเสียชีวิต หลังจากอัยการออกคำสั่งไม่ฟ้อง และให้เพิกถอนหมายจับ “วรยุทธ อยู่วิทยา” เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 63 มีข้อมูล “จารุชาติ” ไปขึ้นทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมว่า ทำงานให้สำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 63 และรับเงินเดือนจาก “เจแอล เชียงใหม่ยูไนเต็ด”
เมื่อ “จารุชาติ” ตายอย่างไม่ปกติ หลังจากปรากฏข่าว อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีวรยุทธ 1 สัปดาห์ และปรากฏ จารุชาติ พยานปากสำคัญ จุดเปลี่ยนคดีนี้ไปพัวพันกับคนใหญ่คนโตระดับ ส.ว.และ เจ้าของสโมสรฟุตบอลที่มี “พ่อบอส” เป็นสปอนเซอร์ งานนี้ยิ่งทำให้สังคมสงสัยขึ้นไปอีก
ที่เขาว่ากันว่า จุดเริ่มพลิกคดีอยู่ที่ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สนช. ที่มี “พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ” สมาชิกวุฒิสภา น้องชาย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน รับเรื่องจากทนายของบอสแล้วเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบ ทั้งอัยการ พนักงานสอบสวน จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจก่อนส่งผลการตรวจสอบไปให้อัยการสูงสุด และอัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติม จนนำไปสู่การสั่งไม่ฟ้องคดี

คดียิ่งสาวยิ่งสืบ ยิ่งขยายวง ดูทรงแล้วถ้าจะเป็นงานชิ้นโบแดงของ “วิชา มหาคุณ” ถ้าคลี่คลายปมต่างๆ ให้สังคมสิ้นสงสัย
ว่าแต่ว่า หากตรวจพบความไม่ชอบมาพากล งานนี้มีหลายฝ่ายจับจ้องเชื่อว่า ทั้งกระบวนการมีคนเข้ามาเอี่ยวช่วยพลิกคดีบอสไม่น้อย เผลอๆ นับแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ราย และต่างจะต้องผวาหนักแน่ เพราะมีนักกฎหมายใหญ่ ดูๆ ไว้ให้แล้วว่า เป็นความผิดร้ายแรง อาจติดคุกระหว่าง 20 ถึง 50 ปี และอาจถูกยึดทรัพย์ ตามกฎหมายฟอกเงินได้
เรื่องนี้ก็ต้องติดตามดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

** ฝาก “ชาญศิลป์” ช่วยดูหน่อยพนักงานการบินไทยสุดเซ็ง “บิ๊กบินไทย” สั่งแต่งตั้งคนใกล้ชิดแบบเร่งรีบซ้ำเติมวิกฤต

ชาญศิลป์ ตรีนุชกร
ขณะที่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการ และพยายามปรับลดค่าใช้จ่าย ลดพนักงาน และหาทางหาเงินมาใช้หนี้ เพื่อจะทำให้สายการบินที่เคยเป็นหน้าตาของประเทศกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม เรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นระหว่างนี้ ก็มีมาให้พนักงานเสียขวัญเสียกำลังใจกันจนได้ !!

แว่วว่า บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งบุคคลที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมขึ้นเป็น “ผู้บริหารระดับ 10” ของบริษัท ซึ่งถือเป็นการแต่งตั้ง ที่ไม่มีความจำเป็น ในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังประสบปัญหาและวิกฤตหนัก จากผลกระทบจากโควิด-19 ที่ต้องหยุดทำการบิน และต้องยื่นศาลฯ ฟื้นฟูกิจการ และปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

งานนี้ “พนักงานการบินไทย” วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ เคยมีความพยายามในการแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกกระแสต่อต้านจากทุกฝ่าย ถึงความไม่เหมาะสม ว่าผู้บริหารระดับสูงใช้อำนาจสั่งการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และคนใกล้ชิด จนทำให้หยุดชะงักไปพักหนึ่ง

ข่าวว่า ก่อนหน้านี้ จะมีการเสนอแต่งตั้ง บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นผู้บริหารระดับ ผู้จัดการ (ระดับ 9) สังกัดฝ่ายความปลอดภัย ความมั่นคงและมาตรฐานการบิน ไปเป็นผู้อำนวยการระดับ 10 สังกัดสายการพาณิชย์แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า “ไม่เหมาะสม” เนื่องจากเป็นการแต่งตั้งข้ามฝ่าย ข้ามสายงาน ขณะที่หลักการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในแต่ละฝ่ายนั้นจะต้องมีการคัดสรรจากฝ่ายเดียวกันก่อน ยกเว้นสรรหาแล้วไม่มีบุคคลที่เหมาะสม จึงพิจารณาคัดสรรจากฝ่ายอื่น

มาถึงวันนี้น่าจะเรียบร้อยโรงเรียนบินไทย ฟังว่า คณะกรรมการบริหาร (EMM) ได้อนุมัติแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวขึ้น ระดับ10 ไปแล้ว โดยโยกไปเป็น ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับการปฎิบัติกฎเกณฑ์และส่งเสริมธรรมาภิบาล (1W) แบบเร่งรีบ เพราะเกรงว่าจะไม่ทันก่อนที่บุคคลดังกล่าวจะมีอายุ 59 ปี ใน 30 กันยายนนี้ ซึ่งหากพ้นกำหนด จะไม่สามารถแต่งตั้งได้

พนักงานการบินไทยทั้งหลายดูออกว่า เหตุผลสำคัญกรณีที่ มีความพยายามแต่งตั้งดังกล่าวเพราะ การเลื่อนจากระดับ 9 ไปเป็นระดับ 10 นั้น มีผลต่อสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยนอกจากเงินเดือน ค่าน้ำมันรถที่เพิ่มขึ้นแล้วจะได้รับสิทธิ์ “ที่นั่งชั้น 1 (เฟิร์สคลาส) ตลอดชีวิตทั้งครอบครัว” ขณะที่ระดับ 9 จะได้สิทธิ์ที่นั่งชั้นธุรกิจ (Business) เท่านั้น

เรื่องนี้เป็นปัญหาในบริษัท การบินไทย ในยุคที่ต้องปรับตัวใหม่ แต่ผู้บริหารยังคงใช้วัฒนธรรมองค์กรเดิมๆ ใช้ระบบเส้นสาย เลื่อนตำแหน่งบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ที่ขัดหลักธรรมาภิบาล

แน่นอนว่า กระทบต่อขวัญและกำลังใจ พนักงานอย่างมาก โดยเฉพาะพนักงานระดับปฏิบัติงาน ซึ่งที่ผ่านมา ต้องทำงานอย่างหนัก ท่ามกลางปัญหาและสถานการณ์ที่กดดัน นอกจากนี้ ยังมีการลดเงินเดือน การปรับโครงสร้างบริษัทและอาจจะมีการเลิกจ้างในอนาคต

งานนี้คงต้องฝาก “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่การบินไทยคนใหม่ ช่วยไขข้อข้องใจพนักงานแล้วละ.





กำลังโหลดความคิดเห็น