xs
xsm
sm
md
lg

กล้ามั้ย! “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ท้าปฏิวัติ “หมอวรงค์” พร้อมสู้ “บูด” ขู่..ก่อนจะสาย “ทอน” ให้รับฟัง “ม็อบหมิ่นสถาบัน”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
เดือดปรอทแตก! “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ท้า ดอกเตอร์ คลั่งปฏิวัติฝรั่งเศส ถือธงนำปฏิวัติ “หมอวรงค์” ประกาศรวมไพร่พลสู้พวกชังชาติ “บูด” ขู่..ไม่แก้ รธน. สืบทอดอำนาจ ระวังจะสาย “ทอน” ยืนข้าง “ม็อบ นศ.” ให้ยอมรับความจริง เรื่องสถาบัน

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (25 ก.ค. 63) ท่ามกลางกระแสความเคลื่อนไหวของ ม็อบเยาวชน-นศ. ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่สำคัญอีกอย่าง คือ การแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อสถาบัน กรณีชูป้ายภายในม็อบ และเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่าข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ที่เป็นประเด็นหลักด้วยซ้ำ

ยิ่งกว่านั้น นักการเมืองพรรคก้าวไกล ยังนำไปอภิปรายในสภาฯ เรียกร้องให้สังคมไทยยอมรับ “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ” ซึ่งความจริงที่ว่านั้น ก็คือ การหมิ่นสถาบัน เพื่อที่จะช่วยกันหาทางออก เพราะมันคือความจริงแห่งยุคสมัย นั่นเท่ากับว่า “ม็อบปลดแอก” ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

รวมทั้ง นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ปลุกมวลชนให้ออกมาปฏิวัติด้วย

เรื่องนี้ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแหง่ชาติ โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “จะปฏิวัติ : ก็ออกมาถือธงนำ”

โดยระบุว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่นักปฏิวัติจบฝรั่งเศส เขียนเฟซว่า การปฏิวัติจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสองสิ่ง คือ มีความแค้น กับมีความหวัง หากมีสองสิ่งนี้ จะเป็นแรงผลักดันนำไปสู่การปฏิวัติ

อ่านจบก็เกิดคำถาม ใครจะแค้นก็ทำไป แต่ไม่ใช่จะทำใครได้ฝ่ายเดียว คนอีกฝ่ายที่มีอารมณ์แค้นกลับ ตอบโต้แรงกว่า อะไรจะเกิดขึ้น หากต้องนองเลือด เลือดใครสิไหลริน

ในหลายประเทศ ที่มีอาจารย์อย่างนี้ มีกลุ่มคน มีนักการเมืองที่คลั่งลัทธิความเชื่อแบบตะวันตกว่าดีเลิศ ออกมาคัดค้าน ต่อต้านประเทศตัวเองว่า เป็นรัฐบาลเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย หลงเชื่อตามฝรั่ง ประชาธิปไตยต้องแบบนี้เท่านั้น

ผลสุดท้าย เกิดสงครามกลางเมือง ผู้คนล้มตาย บ้านแตกสาแหรกขาด มหาอำนาจตะวันตกเอากองกำลังเข้าช่วยร่วมรบ สุดท้ายไปไม่รอด คนในชาติต่อต้าน แต่ผู้คนต้องอพยพหนีตายออกนอกประเทศ ไปเป็นพลเมืองชั้นสี่ในต่างประเทศ แต่ไอ้พวกผู้นำ หลบอยู่ในต่างประเทศเสวยสุข สบายใจเฉิบ

เสื้อแดงเมื่อปี 52-53 และ ปี 56-57 มวลชนเยอะกว่านี้ ผู้นำเด็ดเดี่ยวและนำคนได้เก่งกว่านี้ ยังไม่รอด

ผู้นำตะวันตกปล่อยคนในชาติติดเชื้อโควิดเป็นล้านคน ตายเรือนแสน ที่ว่านี้ระดับยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น ตรงข้าม ลุงตู่ที่ถูกจิกด่า ไม่มีคนติดเชื้อในประเทศมากกว่า 50 วัน

ประชาธิปไตยปล่อยคนให้ตาย เผด็จการป้องกันคนไม่ให้ติดเชื้อ

อย่าเที่ยวยุเด็กเยาวชนให้ออกไปตาย แต่แกนนำหลบอยู่หลังเด็ก

แน่จริงออกมานำ ประกาศเลยว่า แค้นอะไรที่ต้องชำระ และมีความหวังอยากทำอะไรให้สำเร็จ

เยาวชนอย่าหลงเชื่อคำยุยงของ คนชื่ออาจารย์ เกาะตำราเห่อฝรั่ง ไม่ลืมตาดูบริบทของสังคมไทย”

ขณะเดียวกัน “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “คนรุ่นใหม่!!!”

เนื้อหาระบุว่า “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีวาทกรรมไพร่กับอำมาตย์ ที่ระบอบทักษิณใช้ปลุกระดมมวลชน เพื่อแบ่งแยกประชาชน

ปัจจุบันเกิดวาทกรรมคนรุ่นใหม่ กับคนรุ่นเก่า รวมทั้งวาทกรรมคนรุ่นพ่อแม่ลุงป้าน้าอาหรือคนแก่ โดยใช้วัยในการปลุกระดมแบ่งแยกประชาชนของพวกชังชาติ

คำว่ารุ่นพ่อแม่ลุงป้าน้าอาและคนแก่ เป็นคำที่ใช้ดูถูกเหยียดหยาม โดยเฉพาะในโซเชียล ที่เหล่าอวตารสาวกชังชาติ จะใช้ดูถูกคนอีกรุ่น และยกตนว่า เป็นคนรุ่นใหม่มาข่มเหง

ผมอยากให้กำลังใจทุกท่าน ที่กลายเป็นเหยื่อที่พวกชังชาติ นำวัยไปแบ่งแยก และพยายามด้อยค่า

ถ้าเทียบสมัย 14 ตุลา 2516 อาจพอฟังได้ เพราะยุคร่วม 50 ปีที่ผ่านมา คนเรียนมหาวิทยาลัยน้อยมาก เยาวชน นักศึกษา ในยุคนั้น จึงกลายเป็นปัญญาชน ที่ชี้นำสังคม

ในทางตรงข้าม ปัจจุบันคนรุ่นพ่อแม่ลุงป้าน้าอา หรือคนแก่ ไม่มีอะไรด้อยเลย เรียนหนังสือก็สูง รายได้ก็มี ประสบการณ์ก็มาก ผ่านการต่อสู้หลายรูปแบบ เจอทั้งผิดหวังและสมหวัง เราจึงต้องเชื่อมั่น ในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ที่พวกชังชาติพยายามเหยียดและแบ่งแยก

จึงอยากเชิญชวนลุงป้าน้าอาทุกท่าน อย่าได้หวั่นไหว ยังคงให้ความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น และข้อเท็จจริง แก่ลูกหลาน เยาวชนคนรุ่นใหม่ของเรา

ส่วนพวกชังชาติที่คอยยุแหย่ จาบจ้วงล้มล้าง สร้างความเกลียดชัง กระตุ้นการปฏิวัติ ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูแผ่นดิน พวกผมขอรวบรวมไพร่พล รับผิดชอบคนเหล่านี้เอง”

ภาพ ม็อบปลดแอก เมืองย่าโม จากแฟ้ม
ด้าน นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “เริ่มต้น “ถอดสลักระเบิดเวลา” ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิก มาตรา 279 และ ส.ว. 250 คนตามบทเฉพาะกาล”

โดยระบุว่า เมื่อครั้งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 #พรรคอนาคตใหม่ มีนโยบายสำคัญในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาทางความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ทั้งในเรื่องที่มา กระบวนการจัดทำ และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทั้งฉบับ

แต่ทุกคนต่างทราบดีว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำได้ยากมาก หรืออาจทำไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ เราเชื่อมั่นเสมอมาว่า การเมือง คือ ความเป็นไปได้ เราจะพยายามผลักดันในทุกช่องทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เพียงแต่ในสภาฯเท่านั้น แต่ต้องสร้างกระแสและความรับรู้ของสังคมเพื่อทำให้สังคมเกิดฉันทามติร่วมกันว่ารัฐธรรมนูญ 2560 คือ วิกฤตและทางตัน จำเป็นต้องจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเลือกมา

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ยังไม่สามารถแสวงหาฉันทามติ หรือร่วมกันกดดันให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ เราก็สามารถเริ่มต้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเร่งด่วน เรื่องกลไกการสืบทอดอำนาจของ คสช. และเป็นเรื่องที่น่าจะหาฉันทามติได้ง่าย ได้แก่ การยกเลิกมาตรา 279 และการยกเลิก ส.ว. 250 คนตามบทเฉพาะกาล

แม้จะมีการยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช. แต่ผลของประกาศและคำสั่งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จะยังมีอยู่ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 279 เขียนรับรองให้ประกาศคำสั่ง คสช. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ และไม่ได้เป็นการรับรองแค่ประกาศคำสั่งเท่านั้น แต่ยังรับรองไปถึง “การกระทำที่เกี่ยวเนื่องกัน” ด้วย ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่ว่าการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันครอบคลุมไปถึงแค่ไหน มาตรา 279 จึงทำให้การใช้อำนาจของ คสช. อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ นี่จึงเป็นพันธกิจสำคัญที่พวกเราต้องยกเลิกมาตรา 279 ให้ได้เช่นเดียวกัน

วุฒิสภาตามบทเฉพาะกาล ที่มาจากการเลือกของ คสช. ก็ได้แสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดในวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในการเลือกหัวหน้า คสช.กลับมาเป็นนายกฯ วุฒิสภายังคง “ขี่คอ” สภาผู้แทนราษฎรในหลายเรื่อง ได้แก่ การแก้รัฐธรรมนูญ การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และการตรากฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศหากปล่อยให้มีวุฒิสภาแบบนี้ต่อไป วุฒิสภาก็จะกลายเป็นกลไกของการสืบทอดอำนาจ...

ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรงขึ้นตามลำดับ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ออกมาใช้เสรีภาพในการชุมนุมเรียกร้องต่อรัฐบาลประยุทธ์กันหลายจังหวัด หากรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสถาบันการเมืองที่อยู่ในรัฐธรรมนูญทั้งหลายเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องของเยาวชนคนรุ่นใหม่ จงใจมองข้ามเสียงแห่งอนาคตของชาติ สถานการณ์ทางการเมืองก็น่าจะตึงเครียดมากขึ้น จนอาจลื่นไถลไปไกลอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

การ “เตะถ่วง ซื้อเวลา” ผ่านกลไกคณะกรรมาธิการวิสามัญ ดูเหมือนจะไม่เพียงพอต่อสถานการณ์เสียแล้ว จะตั้งกันอีกกี่คณะ ก็ไม่มีทางที่จะหยุดกระแสคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้...

ผมจึงอยากเชิญชวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ซึ่งเป็น “ผู้แทน” ของราษฎร มาช่วยกัน “ถอดสลักระเบิดเวลา” เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในสองประเด็นดังกล่าว โดยเร็วที่สุด

เรายังพอมีเวลา

... ก่อนที่จะสายเกินไป”

ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากแฟ้ม
และที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์สดจากจังหวัดพิษณุโลก วานนี้ ในจัดรายการ “ก้าวหน้า Talk : คุณถาม เราตอบ” มีการส่งคำถามเข้ามาเกี่ยวกับกรณีการชุมนุมของนักศึกษา หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสถาบันฯ

นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งที่นักศึกษาปราศรัย คือ ปัญหาที่คนรุ่นเราไม่กล้าพูดถึง นี่คือ จุดสำคัญของสังคมไทย นักศึกษาได้ตั้งคำถามกับระบบระเบียบที่อยู่ในสังคมไทย แต่คนรุ่นเรามีวุฒิภาวะพอหรือไม่ ที่จะเผชิญหน้ากับคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมา

“เวลาเราพูดเรื่องนี้เราไม่ได้พูดด้วยความมาดร้ายพยาบาท แต่เราพูดด้วยความหวังดี ว่า มีปัญหาที่นักศึกษา-คนรุ่นใหม่ได้พูดขึ้นมาแล้ว เรากล้ายอมรับมัน เรากล้าเผชิญกับความจริงหรือไม่ เรามีทางเลือกที่จะเอาเรื่องนี้ซุกไว้ใต้พรม ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขาพูดไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย แล้วปล่อยปัญหานี้ให้คนรุ่นเขาจัดการเอง หรือเมื่อรับฟังไม่ได้-ใจไม่กว้างพอที่จะเปิดรับความคิดเห็นเหล่านี้ ก็จับพวกเขาเข้าคุกหรือไล่ให้ไปอยู่ต่างประเทศ กำหราบปราบปรามพวกเขา

แต่อย่าลืมว่า นี่คือ อนาคตของประเทศ และเราไม่ได้พูดถึงคนหลักสิบหลักร้อย แต่เรากำลังพูดถึงคนเป็นหลักหมื่นหลักแสน ข้อเสนอที่เรียบง่ายก็คือ การยอมรับการดำรงอยู่ของปัญหาอย่างตรงไปตรงมา การจะหาทางออกด้วยกันได้เริ่มจากการยอมรับว่ามีปัญหาอยู่จริง ถ้าไม่ยอมรับกันตรงนี้แล้ว ไม่มีทางหาทางออกร่วมกันได้”...

แน่นอน, ดูเหมือน “ม็อบปลดแอก” ที่หลายคนคิดว่า ไม่มีอะไร แต่ถ้าฟังจากทั้ง ปิยบุตร และธนาธร แล้ว มันคือ การนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคมไทย และประเทศไทยเลยทีเดียว

อย่างที่พวกเขาออกมาเตือน และในนองขู่เอาไว้ด้วยซ้ำ ว่า ถ้าผู้มีอำนาจ และสังคมไทย นิ่งเฉย หรือ มองข้าม “ปิยบุตร” บอกเอาไว้ว่า มันอาจจะสายเกินแก้ เพราะมันคือ “ระเบิดเวลา” ขณะ “ธนาธร” เห็นว่า การหมิ่นสถาบัน จะมีทางออกได้ ผู้คนในสังคมไทยต้องยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมาก่อนว่ามีปัญหา และร่วมกันหาทางออก มิเช่นนั้น ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาได้เช่นกัน

คำถามก็คือ แม้ว่าจะมีการรับแก้ปัญหา 3 ข้อเรียกร้อง คือ 1. ให้นายกฯ ประกาศยุบสภา 2. หยุดคุกคามประชาชน และ 3. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อหยุดการสืบทอดอำนาจ แล้ว ก็ยังไม่จบใช่หรือไม่

เพราะเหนืออื่นใด จะต้องยอมรับความจริงให้ได้ในเรื่องที่มีการกระอักกระอ่วนใจด้วย และหาทางออกร่วมกัน นี่คือ โจทย์ข้อใหญ่ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่รู้มีกี่คนแน่ แล้วถ้าสังคมไทยส่วนใหญ่ ไม่รู้สึกว่ามีปัญหา แถมรักเคารพเทิดทูนศรัทธาอย่างมากด้วย การแก้ไขจะเป็นอย่างไร คนส่วนน้อยจะฟังเสียงส่วนใหญ่หรือไม่ เรื่องนี้ก็สำคัญ

หรือ “ปิยบุตร-ธนาธร” ต้องการให้ยอมรับเสียงคนส่วนน้อยและพวกตัวเอง มากกว่าเสียงส่วนใหญ่ ที่ไม่ใช่ในโลกโซเชียล หากแต่เป็นโลกแห่งความเป็นจริง? ใครกันแน่ที่ต้องยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมา ว่า ล้มล้างสถาบันไม่ได้!?


กำลังโหลดความคิดเห็น