ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ฉุนทิ้งพรรคฟางเส้นสุดท้าย ลึกสุดตีนเบื้องหลังก่อนไลน์ลับถึง “สมคิด” ที่แท้อิทธิฤทธิ์ของ “ลุงตู่” ดีดนิ้วแล้วทุกสิ่งหายวับไปกับตา
เบื้องหลังการลาออกของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี “ทีมสี่กุมาร” ว่ากันว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ส่งข้อความทางไลน์ไปหา “สมคิด” ระบุว่า “รู้สึกลำบากใจ รู้สึกแย่ ไม่รู้จะพูดต่อหน้าอย่างไร” ... เมื่อ “สมคิด” ได้อ่านข้อความก็ได้โทรศัพท์ไปหานายกฯ
จากไลน์ลับๆ จึงตามมาด้วยรายงานลับบทสนทนาระหว่าง “ลุงตู่กับสมคิด” ซึ่งควรรู้กันสองคน ก็ออกมาสู่โลกโซเชียล ชนิดถอดมาเป๊ะๆ โดยรายงานว่า ลุงตู่ ได้พูดกับสมคิดว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องปรับรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ ด้วยเหตุผลทางการเมืองซึ่งสมคิด ตอบว่า ไม่มีปัญหา ขอให้สบายใจได้ รู้ถึงความจำเป็นเข้าใจว่าในทางการเมือง นายกฯหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องกังวล โดยส่วนตัวก็ตามที่เคยแจ้งกับนายกฯไว้ อยากกลับไปรักษาสุขภาพ เพราะสุขภาพแย่มาก...
ส่วน “กลุ่มสี่กุมาร” นายกฯก็ไม่ต้องเป็นห่วง พร้อมที่จะเปิดทางให้นายกฯปรับ ครม.ได้เลยไม่ต้องกังวล เข้าใจถึงเหตุผลทางการเมือง รู้ว่านายกฯลำบากใจ
เมื่อสมคิดพูดมาถึงช่วงนี้ นายกฯได้เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะกล่าวกับสมคิดว่า “ยังไงอาจารย์ก็อย่าทิ้งผมไป ขอให้อยู่ข้างหลังผมด้วย”
“สมคิด” ก็กล่าวตอบว่าที่ผ่านมา การที่มาช่วยตรงนี้เพราะนายกฯ และนายกฯก็ให้เกียรติกันและกัน เมื่อมาถึงวันนี้ในความสัมพันธ์ก็ถือว่าได้ใจกันไปแล้ว และมาถึงจุดหนึ่งที่นายกฯต้องตัดสินใจ ก็เข้าใจดี ถือเป็นการดีแล้วที่นายกฯมีความชัดเจน เนื่องด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจเวลานี้จากผลกระทบโควิด ทำให้บรรยากาศอึมครึม ไม่เป็นผลดี ส่วนตัวไม่มีปัญหา ต่อให้ในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่มีปัญหาเรื่องการเมืองก็ตาม เพราะตั้งใจจะไปรักษาสุขภาพอยู่แล้ว ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง แต่เห็นว่านายกฯไม่มีใครช่วย จึงต้องอยู่ช่วยก่อน
พลันที่ “ไลน์ลับ” และบทสนทนานี้เผยแพร่ออกมา โลกโซเชียลก็ขยับวิจารณ์กันเซ็งแซ่ว่า นี่หรือคือ การเมือง NEW NORMALของลุงตู่ ตกลงว่าใครกดดันใคร ใครทิ้งใคร ?
นี่เป็นสิ่งที่มองเห็นกันวันนี้ ... แต่เบื้องหลังของเบื้องหลังแบบ “ลึกสุดตีน” ก่อนที่จะมาถึง “ไลน์ลับ” ที่กลายเป็น “ไลน์พิฆาต” ก็ว่ากันว่า ทั่งหมดทั้งมวลล้วนมาจาก ฟางเส้นสุดท้ายที่ “สองลุงผู้ยิ่งใหญ่” ไม่พอใจอย่างยิ่งที่กลุ่มสี่กุมาร ตบเท้าลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ภาพของพรรคกลายเป็นรังของ “ฝูงซอมบึ้” ไปในทันที เพราะมีแต่นักการเมืองที่มีแต่เสียงยี้ จะโผล่มาแทนสี่กุมาร
ว่ากันอีกว่า เดิมหากสี่กุมารไม่ทิ้งพรรค และความเป็นไปก็ยังไม่ต้องถึงขั้นต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก เปลี่ยนตัว รมว.โดยเฉพาะ “อุตตม สาวนายน” เพราะงานฟื้นฟูเศรษฐกิจจะชะงัก และคนที่จะมาแทนที่อย่าง “ปรีดี ดาวฉาย” ปกติแล้วก็ถือเป็นทีมที่ร่วมงานกับทีมสมคิดอยู่แล้ว ทุกอย่างรอให้งบประมาณเรียบร้อยก็ยังไดั แต่เมื่อสี่กุมารลาออกจาก พปชร. จึงมีความไม่พอใจอย่างแรง เพราะแปลว่า ทั้งสี่คน แข็งข้อ หัวดื้อ ไม่อยู่ในโอวาทที่จะควบคุมกันได้อีกต่อไป !!
แล้วก็มาถึงแผนที่ถูกกำหนดเป็นขั้นเป็นตอน นั่นคือ... ลุงได้ทาบทาม “ปรีดี ดาวฉาย” จนตอบตกลงกันได้ ส่วนกระทรวงพลังงาน แน่นอน “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” ยังไงก็คุมพลังงานได้อยู่แล้ว
จัดคนลงตัวในคืนก่อน จากนั้นก็ตัดสินใจจัดการกดข้อความกดดันส่งไลน์ไปที่สมคิดในวันต่อมา !!
งานนี้เรียกว่าเป็นวิชา “ไลน์พิฆาต” ของลุงตู่ ต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ไม่ต่างกับ “ทานอส” ที่ดีดนิ้วแล้วสรรพสิ่งก็หายวับไปกับตา
ว่าไปแล้ว “ลุงตู่” ได้พยายามแสดงออกให้เห็นถึงความเป็นคนคุมเกมเอง ส่งสัญญาณมาเป็นลำดับ ถ้าย้อนคำพูดของลุงตู่ที่พูดถึงการปรับ ครม. ก่อนหน้านี้ หรือ พูดอยู่เสมอว่า “ขอให้เชื่อมั่นผมเรื่องปรับ ครม.เป็นอำนาจของนายกฯ จัดการพิจารณาด้วยตัวเองได้”
“ลุงตู่” วันนี้ยอมรับว่า ตัวเองเป็นนักการเมืองแล้ว เมื่อการเมืองเปลี่ยน ก็ต้องเข้าใจว่ามีวิถีของพรรคของการเมือง ซึ่งเมื่อโยงเข้ากับปรากฏการณ์ ผู้ใหญ่หลิ่วตาข้างหนึ่งให้ “วิรัช รัตนเศรษฐ” และ พวก ส.ส.พลังประชารัฐ ออกมาเย้วๆ โห่ไล่ “สมคิดและสี่กุมาร” อยู่ตลอดเวลา แบบไม่ให้เกียรติกันเลย ตั้งแต่ล้มอำนาจในพรรคเรื่อยมาจากได้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พีใหญ่ไปเป็นหัวหน้าพรรค มันก็น่าคิดว่าเป็นการสอดรับประสานกัน โดยสัญญานชัดว่า การรับรู้แต่ไม่ปรามอะไรจากลุงตู่ นั้น ลุงกำหนดเป้ายิงไว้แล้ว
เมื่อคำนวณว่าถึงเวลาต้องจัดการปรับ ครม. แล้วจึงออกอาวุธ !!
คำถามที่ว่า “ใครทิ้งใคร” คงไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วในตอนนี้ เพราะนายกฯให้สัมภาษณ์สื่อที่ศรีสะเกษ ก็เล่นบทพระเอกหล่อๆ ... ว่า “ผมเป็นทหารมา ก็มีความผูกพันแม้แต่กับคนที่ทำงานมาด้วย เขาเรียกว่าความผูกพัน ดูสิทำงานมาตั้ง 5 ปี และสิ่งสำคัญวันนี้ถือว่าท่านทำสำเร็จมาในขั้นต้นกับผมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการวางพื้นฐานดิจิทัล และ อีอีซี เรื่องเหล่านี้ทุกท่านร่วมมือมากับผม ... แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองมันเปลี่ยนแปลงไป เรามองในมิติการเมืองเรื่องของการเมือง ท่านก็ออกไป จะบอกว่า ก็เสียดาย แต่มันก็จำเป็นด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ผมเองก็ไม่คุ้นเคยแบบนี้ แต่จำเป็นต้องตัดสินใจ เราก็จากกันด้วยดี ไม่มีการให้ร้ายอะไรซึ่งกันและกัน ผมไม่เคยทำร้ายใคร”
เอาเป็นว่า “สมคิดและสี่กุมาร” เดินทางมาถึงตอนอวสานของ “ครม.ประยุทธ์ 2/1” ปิดตำนานไปบทหนึ่ง และกำลังจะเริ่มบทใหม่ ว่าด้วย “ครม.ประยุทธ์ 2/2” โดยนายกฯว่า ไม่เกินเดือน ส.ค.นี้ ... แต่ไฮไลต์อยู่ที่ โควตาคนนอก คลัง และ พลังงาน ซึ่งลุงตู่ยืนยันว่า ต้องมีสัดส่วนของตนเอง ยังไงก็ต้องมี !!
คำถามมีว่า ก่อนนี้ที่ ส.ส.พลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น “สิระ เจนจาคะ” และ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” ออกมาทวงสมบัติพรรค ประกาศกร้าวว่า เก้าอี้ของสี่กุมารต้องเป็นของพรรคเท่านั้น “ลุงตู่” จะเจรจาต้าอ้วยกับ “ลุงป้อม” เรื่องโควตานายกฯ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากหากน้องตู่จะเอา พี่ใหญ่ก็คงจัดให้ ก็เท่ากับ พวกลิ่วล้อที่ออกมาทวงเก้าอี้ให้ พปชร. ก็แค่ปาหี่ “ละครลิง” ผสมโรงให้ “ลุงตู่-ลุงป้อม” พากันตบมือหัวเราะชอบใจเท่านั้นเอง
แถมงานนี้ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ก็อาจจะเสียรู้ สู้ เด็กในคาถาลุงตู่ อย่าง “ไพรินทร์” อดีตซีอีโอ ปตท. ที่พักหลังลุงตู่เรียกใช้บริการเสมอ จะให้นั่ง รมว.พลังงาน
“สุริยะ” วืดแล้ววืดอีก ทั้งๆ ที่ออกตัวแรงมาตลอด คราวนี้ก็เลยมีข่าวจะไม่ยอมลุง จะขนมุ้งตัวเองที่เคลมว่ามีกำลังพวกมากพอที่จะปะทะต่อรองกับลุงได้ เอามาต่อรองวัดกันไป
ศึกนี้ก็น่าจะทำให้ “พล.อ.ประยุทธ์” เอามือก่ายหน้าผากแน่ๆ “สองมิตร” เตรียมขู่นายกฯขอ รมว.พลังงาน ให้ สุริยะ แม้ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย คนในก๊วนจะออกแอคชันกับคนรู้ทันถึงกับ “หัวร้อน” ออกมาประณามพวกเดียวกันว่า “ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” ปล่อยข่าวทำ สุริยะไปชนลุง ยิ่งทำให้ภาพของการแย่งชามข้าวก็ยิ่งเด่นขึ้นมาสำหรับพรรคนี้
แต่ดูทรงแล้ว “ไพรินทร์” น่าจะมีภาษีดีกว่า “สุริยะ” แบบแช่แป้ง เพราะ นายกฯ กางปีกป้องไพรินทร์เต็มที่แน่ เห็นได้จากเมื่อมีคนสงสัยว่า “ไพรินทร์” เหมาะสมกับพลังงานหรือไม่ ? ทำไมไม่ยกโควตาให้พรรคการเมืองอย่างที่ท่านเคยพูดไว้ ลุงจะย้อนถามตาขวางว่า “เขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าล่ะ” ส่วนพรรคมองว่า น่าจะเอาคนในมากกว่าคนนอก พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะบอกว่า ก็ไปถามหัวหน้าพรรค
สรุปว่า กระทรวงพลังงาน คือ ที่หมายปองของฝูงซอมบี้ หัวใจหลักของ “ลุงตู่” จะมีปัญหายื้อแย่งกันมากแน่ๆ แม้นายกฯ ก็ประกาศ “ผมพิจารณาของผมเอง” ก็ต้องมาดูกัน งานนี้ ใครจะกดกันใคร และ “ลุงตู่” จะเอาคนของตัวเองลงได้หรือใม่ จะสามารถกุมทุกอย่างให้เดินไปตามเกมที่ตัวเองไว้ได้มั้ย จะแสดงอิทธืฤทธิ์ ดีดนิ้วแล้วทำให้ทุกสิ่งหายวับไปกับตาเหมือนๆ กับที่ทำกับ “สมคิดและสี่กุมาร” ไปแล้วได้หรือไม่
ถึงตรงนี้ ! ลุงตู่ยังต้องปวดหัวต่อไป แต่สำหรับสมคิดและสี่กุมารนั้น แน่นอนว่า ณ บัดนาว หายใจโล่งอกไปตามๆ กัน .
** ยุค “หญิงเหล็ก” คุมศาลยุติธรรม ครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการตุลาการ “เมทินี ชโลธร” นั่งประธานศาลฎีกา “ปิยกุล บุญเพิ่ม” ประธานศาลอุทธรณ์ รอที่ประชุม กต.เห็นชอบแต่งตั้ง 24 ก.ค.นี้
การปรับ ครม.มาถึงจุดไคลแม็กซ์ หลัง “ทีมสมคิด” ลาออก และนายกรัฐมนตรี บอกว่าจะเร่งดำเนินการปรับ ครม.ให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้
ขณะที่วงการข้าราชการ ก็มาถึงช่วงวงรอบการโยกย้ายประจำปีเช่นกัน ปีนี้ มี “ไฮไลต์” ที่น่าติดตามอยู่หลายวงการ อย่างเช่นในสายความมั่นคง ผู้นำเหล่าทัพ ทั้งกองทัพบก เรือ อากาศ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมถึง ผบ.ตร. จะกอดคอกันเกษียณในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ยกเว้นปลัดกระทรวงกลาโหมคนเดียวที่ยังอยู่ต่ออีก 1 ปี
แต่ที่สุดของความน่าสนใจปีนี้ ต้องตามไปดูที่วงการศาลยุติธรรม เพราะ “ท่านไสลเกศ วัฒนพันธ์” ประธานศาลฎีกา จะครบอายุ 65 ปี ต้องลงจากตำแหน่งบริหาร ไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโส ... นอกจากประธานศาลฎีกาแล้ว ประธานศาลอุทธรณ์ ก็ครบวาระเช่นกัน
ถือว่าเบอร์ 1 และ 2 ครบวาระ แล้วยังจะมีผู้พิพากษาในตำแหน่งบริหารในระดับสูงที่มีอาวุโสรองลงมา แต่ล้วนแล้วอยู่ส่วนบนสุดของโครงสร้างอำนาจศาลยุติธรรม ต้องลุกจากตำแหน่งมากเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ด้วย
เมื่อประธานศาลฎีกาต้องลุกจากตำแหน่ง พร้อมกับประธานศาลอุทธรณ์ ก็ต้องมาดูที่ รองประธานศาลฎีกา ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 6 ตำแหน่ง...ปีนี้จะลุกจากตำแหน่ง 5 ท่าน จึงเหลือเพียงสุภาพสตรีคนเดียวคือ “ท่านเมทินี ชโลธร” รองประธานศาลฎีกา อาวุโสลำดับที่ 3 จึงเลื่อนมามีอาวุโสลำดับที่ 1 โดยอัตโนมัติ
ประธานศาลฎีกาคนใหม่ต่อจาก “ท่านไสลเกษ"” ก็เลยเป็นของ “ท่านเมทินี” ที่มีอาวุโสสูงสุด และจะเป็นสุภาพสตรีท่านแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ดำรงตำแหน่งประมุขศาลยุติธรรม
“ท่านเมทินี” เป็นหญิงเหล็กแห่งวงการศาลยุติธรรมที่ได้รับการยกย่องในประวัติการทำงาน เคยผ่านงานในตำแหน่งสำคัญ เช่น เป็นประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่กำกับดูแลคดีภาษี คดีแรงงาน คดีเยาวชน คดีทรัพย์สินทางปัญญา และคดีล้มละลาย มีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับของคนในศาลยุติธรรม
ปัจจุบันได้รับการยอมรับจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา ให้ทำหน้าที่กรรมการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิในศาลฎีกา อดีตก็เคยได้รับการเลือกตั้งจากผู้พิพากษาทั่วประเทศ ให้ทำหน้าที่กรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือ กบศ. ซึ่งมีภารกิจสำคัญ คือ การกำกับดูแลงานบริหารราชการศาลยุติธรรม
สำหรับตำแหน่ง “ประธานอุทธรณ์” ซึ่งถือเป็นเบอร์ 2 ของศาลยุติธรรมไทย ปีนี้ก็จะได้สุภาพสตรีเช่นกัน เนื่องจากการลงจากตำแหน่งของประธานแผนกคดีในศาลฎีกาที่มีอาวุโสมากกว่า ทำให้ตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ ตกมาถึงคิวผู้มีอาวุโส ลำดับที่ 14 คือ “ท่านปิยกุล บุญเพิ่ม” ประธานแผนกคดีล้มละลาย
ปีนี้ยังมีสถิติใหม่ที่จะเกิดขึ้นเป็นประวัติศาสตร์วงการศาลยุติธรรม คือ เมื่อผู้มีอาวุโสสูงกว่าได้ดำรงตำแหน่งเบอร์ 1 และ 2 ไปแล้ว ลำดับถัดมา ผู้ที่จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง รองประธานศาลฎีกา ลำดับที่ 1 ซึ่งนับเป็น “เบอร์ 3” ก็จะเป็นสุภาพสตรีอีกหนึ่งท่าน คือ “ท่านวาสนา หงส์เจริญ” ประธานแผนกคดีเยาวชน ในศาลฎีกา
นอกจากระดับรองประธานศาลฎีกา ยังมีตำเเหน่งที่น่าสนใจคือ “ท่านนุจรินทร์ จันทร์พรายศรี” หัวหน้าคณะในศาลฎีกา ก็จะขึ้นเป็นประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ด้วย
บัญชีรายชื่อที่สำนักงานศาลยุติธรรมจัดทำดังกล่าว ถูกนำมาเผยเแพร่ในเว็บไซต์ สำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมแล้ว และจะมีการนำเสนอเข้าที่ประชุม ก.ต. ในวันที่ 24 ก.ค. นี้ เพื่อพิจารณาผ่านความเห็นชอบเเต่งตั้ง
การแต่งตั้งบุคคลในวงการศาลยุติธรรม ยึดถือนิติประเพณี ที่พิจารณาเรื่องอาวุโสอย่างเคร่งครัด จึงฟันธงได้ว่า 3 ผู้บริหารสูงสุดแห่งวงการศาลยุติธรรมหลังกันยายนนี้ ได้แก่ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ และ รองประธานศาลฎีกา อาวุโสเบอร์ 1 จะเป็นสุภาพสตรีทั้ง 3 ท่านนี้ อย่างแน่นอน