ข่าวปนคน คนปนข่าว
**พ่อใหญ่จิ๋ว ไว้ลาย “ขงเบ้ง” หรือจะแค่ “ผู้เฒ่าเลอะเลือน” ทำนายลุงตู่อยู่ยาว-ลุงป้อม เหมาะนายกฯ แต่ตัวเตี้ยไปนิด !
กรณี “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 88 ปี ออกมาพูดถึงการเมือง และรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็มีเสียงสะท้อน ทั้งว่าอ่านขาดมองทะลุ และพึมพำไปตามประสาผู้สูงวัย
จะเป็นอย่างไรก็ต้องฟังกันหน่อย ... จุดแรกก็ต้องบอกว่า พล.อ.ชวลิต เห็นอะไรในการเมืองปัจจุบัน โดย “พ่อใหญ่จิ๋ว” ตอบเลยว่าเหมือนเดิมเมื่อ 88 ปีที่แล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ที่ว่า เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เพราะวงจรต่างๆ เช่น การปรับ ครม. ก็จะมีการปรับเปลี่ยนแปลงมาตลอด ปรับทีก็ทะเลาะกันที ทหารก็เข้ามา ตอนแรกทหารได้เครดิตดี พออยู่ๆ ไปเครดิตก็ตกลงไปก็เกิดเรื่อง นักการเมืองเอาพี่น้องประชาชนมาเดินขบวน ก็มีเรื่องอีก เป็นแบบนี้เรื่อยมา
แถมว่า วันนี้พูดกันแต่เรื่องการเมือง ใครจะเป็นหัวหน้าพรรค ห่วงเรื่องเลือกตั้ง ห่วงเรื่องรัฐธรรมนูญจะแก้อย่างไร แต่เรื่องจะทำอะไรเพื่อประชาชนได้บ้างทั้งที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด กลับไม่มีใครพูดถึง...
ขณะให้วิจารณ์การบริหารงานของ “ลุงตู่” ในสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ จะไปรอดหรือไม่ “พ่อใหญ่จิ๋ว” ก็มองว่า นายกฯต้องรู้จักปรับตัว และรู้ว่าประชาชนต้องการอะไร โดยรัฐบาลชุดนี้ก็อาจจะอยู่10 ปีก็ได้
ไม่ใช่แค่ “ลุงตู่” เมื่อให้พูดถึง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ หรือไม่ ? คำตอบที่ฟังแล้วก็ต้องไปตีความสามตลบ ว่า “ก็ดีนะ แต่ตัวเตี้ยไปนิด”
“พ่อใหญ่จิ๋ว” ออกมาทั้งที ก็แน่นอนว่า มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นการมองหลายชั้น ที่พูดถึง “ลุงตู่” จะอยู่ยาว คำว่า 10 ปีนั้น ถอดรหัสคำพูดอาจจะเป็นไปในทำนอง ประชดประชัน เพราะ พล.อ.ชวลิต คือเจ้าของคำที่ว่า การเมืองไทยเป็น “วงจรอุบาทว์” คือ มีเลือกตั้ง ก็มีการยึดอำนาจ มีการต่อสู้ของประชาชนและบาดเจ็บล้มตายแล้วก็เลือกตั้ง แล้วก็ยึดอำนาจ...
นั่นคือที่ว่า จากอดีตถึงปัจจุบันการเมืองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย หรือไม่ ?
ส่วนความเห็นอื่นๆ นั้น จัดอยู่ในโหมดฟังยาก โดยเฉพาะที่ว่า ยังไม่เห็นใครเหมาะที่จะเป็นนายกฯ เท่าลุงตู่ และเชื่อว่า ลุงตู่ จะไม่ถอดใจทางการเมือง แม้ลุงป้อม จะมีประสบการณ์สูง เป็นผู้นำได้ เพียงแต่ “ตัวเตี้ยไปหน่อย”
นี่ก็มองได้ว่าเป็นลีลาประจำตัว ของ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” ที่มีลูกเล่นแพรวพราวเหมือนเดิม
เอาเป็นว่า นานๆ ทีพ่อใหญ่จะออกมาแล้ว ทำหน้าที่ผู้หยั่งรู้เหมือนฉายาที่ “ขงเบ้งจิ๋ว” ในอดีต ก็ต้องมาดูกันว่า การเมืองจะเป็นอย่างที่พ่อใหญ่จิ๋ว ทำนายแม่นๆ หรือจะเป็นแค่บทรำพึงรำพันของ “ผู้เฒ่าเลอะเลือน” ที่พูดไปตามประสาคนแก่ ตามที่โซเชียลฯ คอมเมนต์กันสนุกสนาน .. ก็ต้องติดตามกันต่อไป
** ปิดตำนาน “วุฒิศักดิ์ คลินิก”!!? จาก “เพราะความสวยรอไม่ได้” สู่การยื่นล้มละลาย ดูท่าจะเป็นเรื่องยาว
พลันที่ เฟซบุ๊ก “ทนายเกิดผล แก้วเกิด” โพสต์ข้อความ “วุฒิศักดิ์ คลินิก คลินิกเสริมความงามระดับประเทศ ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลาง ขอฟื้นฟูกิจการ ตามกฎหมายล้มละลาย ศาลล้มละลายกลางนัดไต่สวน วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ... ใครซื้อคอร์สเสริมความงามไว้ และบรรดาเจ้าหนี้ โปรดติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป”
พร้อมกับภาพเอกสาร คำประกาศศาลล้มละลายกลาง ซึ่งมีใจความว่า... บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาล เนื่องจากมีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นมูลค่าหนี้กับเจ้าหนี้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท แต่กิจการของลูกหนี้ ยังมีเหตุอันสมควรและช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการ จึงขอให้ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ... โดยศาลล้มละลายกลางได้รับคำร้อง เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 63 และมีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 31 ส.ค. 63 เวลา 9.00 น.
จึงเกิดคำถามตามว่า เกิดอะไรขึ้นกับคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ?!!
จากธุรกิจที่พุ่งพรวด แต่พลิกผันตกต่ำในวันนี้ก็ต้องย้อนดูว่า “วุฒิศักดิ์ คลินิก” นั้น ก่อตั้งโดยเพื่อนๆ 3 คน นายแพทย์ วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช, พลภัทร จันทร์วิเมลือง และ ณกรณ์ กรณ์หิรัญ
กิจการในยุคแรกๆ ของวุฒิศักดิ์ เติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นต้นแบบของคลินิกเสริมความงามอื่นๆ เอาอย่างตามมา ทั้งการดึงดารา-เซเลบ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทุ่มเงินโฆษณามหาศาล
กระทั่งปี 2557 บริษัทที่มีสโลแกนให้คนจำได้อย่าง “เพราะความสวยรอไม่ได้” ผู้ถือหุ้นเดิมก็ขายให้ บริษัท อี ฟอร์ แอล เอ็ม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORLโดยว่ากันว่า ใช้เงินลงทุน ถึง 3,500 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการครั้งนั้น
หลังเปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของ “วุฒิศักดิ์ คลินิก” ก็ดูเหมือนจะเติบโตด้วยดี แต่ไม่นานนัก ระยะหลังก็เริ่มมีปัญหาการเงิน
ว่ากันว่า “วุฒิศักดิ์ คลินิก” มีรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มขาดทุนตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา
จากงบการเงินพบว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2556 รายได้ 3,498 ล้านบาท กำไร 414 ล้านบาท, ปี 2557 รายได้ 2,922 ล้านบาท กำไร 71 ล้านบาท, ปี 2558 รายได้ 2,584 ล้านบาท กำไร 149 ล้านบาท
พอขึ้นปี 2559 รายได้ 1,623 ล้านบาท ขาดทุน 528 ล้านบาท, ปี 2560 รายได้ลดลงเหลือ 481 ล้านบาท ขาดทุน 664 ล้านบาท ทำให้ 2 ปี ประสบผลขาดทุนรวมกันกว่า 1,100 ล้านบาท ขณะที่ปี 2561 ทำรายได้ประมาณ 365 ล้านบาท ในปี 2562 ทำรายได้ประมาณ 160 ล้านบาท... แต่ทั้งสองปี บริษัทไม่ได้นำส่งงบกำไรขาดทุน
สาเหตุที่คลินิกเสริมความงามชื่อดังขาดทุน ก็วิเคราะห์วิพากษ์กันว่ามีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องธุรกิจความงามแข่งขันกันสูง ถูกดิสรัปโดยกระแสความนิยมพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย หรือการบริหารงานที่ผิดพลาดเอง และเมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้วิกฤตส่งผลกระทบรุนแรงจนต้องตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูฯ เหมือนกับการบินไทย
ฟังว่า “วุฒิศักดิ์ คลินิก” วันนี้มีหนี้อย่างน้อย 2,000 ล้านบาท และดูท่าทางแล้วแนวโน้มธุรกิจยังไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ว่าจะหารายได้ทำกำไรเพื่อใช้หนี้เมื่อใด หรือจะถึงกาลเวลาที่จะต้องปิดตำนาน “วุฒิศักดิ์ คลินิก” แล้วจริงๆ ?
ตอนนี้ ลูกค้าที่ซื้อคอร์สไว้หลายพันหลายหมื่นล่วงหน้า จะทำอย่างไร
เบื้องต้นนี้ คงต้องทำตามคำแนะนำของ ทนายเกิดผล ว่า ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องนี้ ท่าทางจะยาว !!