ข่าวปนคน คนปนข่าว
"ลุงตู่ -หมอหนู" ดับกระแสหวาดผวา "ผีน้อย" จากเกาหลี จะมาพร้อมเชื้อ "โควิด-19" ...ประกาศชัดก่อนกลับต้องคัดกรอง กักตัว 14 วันก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องคัดกรอง และกักตัวในที่ที่รัฐจัดไว้ทุกคน เพื่อรอดูอาการอีก 14 วัน ก่อนให้กลับบ้าน
กรณีผู้ติดเชื้อ"โควิด-19" ที่เป็นคนไทยเสียชีวิตเป็นรายแรก ได้สร้างความหวาดผวา แก่คนไทยทั้งประเทศ ตามมาด้วยปัญหาหน้ากากอนามัยขาดตลาด ราคาแพง หาซื้อไม่ได้ ยิ่งสร้างความว้าวุ่นใจซ้ำเติมเข้าไปอีก
เมื่อมาเจอเรื่อง แรงงานไทยที่ไปทำงานอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่ประเทศเกาหลีใต้ หรือที่เรียกกันว่า "ผีน้อย" ขอเดินทางกลับประเทศหนีภัยโรคระบาด ที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่เมือง "แดกู และคยองซัง" กลายเป็นโจทย์ใหม่ ที่เพิ่มขึ้นมาโดยที่รัฐบาล ยังไม่ได้มีการเตรียมพร้อมรองรับ การให้ข่าวของผู้มีส่วนรับผิดชอบในรัฐบาล ก็ไปคนละทิศละทาง ไม่มีความชัดเจน...
โดยเฉพาะเรื่องการกักตัว 14 วัน เพื่อรอดูอาการนั้น ในช่วงแรกบอกว่าเมื่อแรงงานเหล่านี้เดินทางมาถึง จะมีการตรวจคัดกรองตามกระบวนการที่ปฏิบัติกันอยู่ ผู้ที่มีไข้ก็ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจพิสูจน์ว่าติดเชื้อมาหรือไม่ ... ส่วนผู้ที่ไม่มีไข้ ก็จะให้กลับไปกักตัวเองที่บ้าน...
เรื่องนี้เลยกลายเป็นประเด็นดรามาในโซเชียลฯ ขึ้นทันที ... บ้างก็บอกว่ารัฐบาลประมาท ที่ทำเช่นนี้ เพราะจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า ผู้ที่ยังไม่แสดงอาการไข้ จะไม่ได้รับเชื้อมา อาจะยังอยู่ในระยะฟักตัว ยังไม่แสดงอาการ ... แล้วการให้ไปกักตัวเองอยู่ที่บ้านจะมั่้นใจได้อย่างไร ว่าเขาจะไม่ออกไปพบปะผู้คน หรือมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปทำมาหากิน เพราะแรงงานที่ไปทำงานเกาหลี ไม่ได้ร่ำรวยกลับมาทุกคน ...
ตัวเลขของแรงงานที่จะกลับมาเหล่านี้ ก็ไม่แน่นอน บ้างว่าอยู่ในหลักพัน บ้างว่ามีเป็นหลักหมื่น ถึงหลายหมื่น รัฐบาลจะเอาอยู่หรือ ...กลายเป็นเรื่องโต้เถียง ลุกลามเป็นการแบ่งข้างว่า เห็นด้วย กับไม่เห็นด้วย ที่จะให้บรรดา "ผีน้อย" กลับประเทศ...ยกเรื่องกฎหมาย เรื่องมนุษยธรรม มาสาดใส่กัน ...สุดท้ายรัฐบาลต้องตกเป็นจำเลย รองรับอารมณ์ อย่างเลี่ยงไม่พ้น
"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงเรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางมาตรการรับมือที่แน่ชัด จนได้ข้อสรุปออกมาว่า จะมีการคัดกรองอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง และปลายทาง ...โดยต้นทางนั้นได้ให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงคมนาคม ประสานกับทางการเกาหลีใต้ ในการตรวจคัดกรองว่าแต่ละคนทำงานอยู่ที่ไหน มาจากเมืองไหน มีความเสี่ยงมากหรือไม่ ถ้าใครมีไข้ ก็ไม่ให้ขึ้นเครื่อง และถ้าคนที่ขึ้นเครื่องมาแล้ว เกิดมีอาการไข้ในระหว่างเดินทาง ก็ให้แยกที่นั่ง แยกการใช้ห้องน้ำออกไปต่างหาก
เมื่อมาถึงประเทศไทยแล้ว ต้องมีการคัดกรองอย่างเข้มงวดอีกครั้ง ใครมีไข้ ก็ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ตรวจเช็กอาการ ตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อ "โควิด-19" หรือไม่ และกักตัวไว้จนมีความมั่นใจ... ส่วนผู้ที่เดินทางมาจาก "เมืองแดกู และคยองซัง" ซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดหนัก ถึงแม้จะไม่มีอาการไข้ก็ต้องเข้าสู่พื้นที่กักกันของรัฐ ที่เรียกว่า "พื้นที่ควบคุมโรค" เพื่อรอดูอาการ 14 วัน จะไม่มีการปล่อยให้ไปกักกันตัวเองที่บ้านเด็ดขาด
ส่วนผู้ที่เดินทางจากเมืองอื่น แล้วไม่มีอาการไข้ ก็จะถูกกักตัว 14 วัน ในสถานที่ที่รัฐบาลจัดไว้ให้เช่นกัน ซึ่งมีข่าวว่ารัฐบาลเตรียมใช้ โรงพยาบาลทหาร ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 รองรับ เพราะแรงงานส่วนใหญ่ มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดภาคอีสาน และในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ก็มีโรงพยาบาลทหาร อยู่ในค่าย ทั้ง10 มณฑลทหารบก (มทบ.) กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ และ ทางกองทัพบกก็ได้สั่งการไปยัง มณฑลทหารบก 37 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่มีโรงพยาบาลอยู่ภายในค่าย ให้เตรียมพร้อมจัดสถานที่ บุคลากร ไว้รองรับภารกิจนี้ด้วย
ขณะที่"หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ก็ออกมาแถลงข่าว ตอกย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้งว่า ได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศ เจรจากับทางเกาหลีใต้ ให้คัดกรองผู้ที่จะเดินทางกลับ "ต้องกักกันตัวเอง" เป็นเวลา 14 วันก่อน จึงให้คัดกรองอีกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง ถ้ามีไข้ ก็ยังขึ้นเครื่องไม่ได้ ต้องเข้ารับการรักษาก่อน ... ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาเมื่อเดินทางกลับมาถึงไทย ก็จะถูกวัดไข้อีกครั้ง หากมีไข้ ก็เข้าโรงพยาบาลตามระบบ หากไม่มีไข้ก็ยังคงต้องถูกกักกันเพื่อเฝ้าระวังโรคอีก 14 วัน ในพื้นที่ที่รัฐจัดไว้ให้ ... รวมทั้งหมดคนกลุ่มนี้ จะต้องถูกกักเป็นเวลา 28 วัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น และขอให้ทยอยเดินทางกลับ เพื่อจะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ
ส่วนที่ไม่ใช่ "กลุ่มผีน้อย" ... ทุกคนที่เดินทางมาจากเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือต่างชาติ ไม่ว่าจะมาจากเมืองใดก็ตาม เมื่อมาถึงประเทศไทย ก็ต้องมีการคัดกรอง และกักกันในสถานที่ที่รัฐจัดไว้ เพื่อเฝ้าระวัง 14 วัน เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะมีไข้ หรือไม่มีไข้ก็ตาม
เมื่อนายกฯ "ลุงตู่" และ "หมอหนู" ออกมาประกาศมาตรการที่รัดกุมเช่นนี้ น่าจะเป็นหลักประกันความมั่นใจของคนในประเทศได้มากขึ้น และสามารถดับกระแสดรามา ความวิตกกังวล หวาดผวา ถึงการกลับบ้านของ "ผีน้อย" เหล่านี้ได้ทันเวลา
ทันเวลา
**“ดร.โกร่ง”ว่ารัฐบาลโง่เขลา บริหารเศรษฐกิจช่วงเวลา โควิด-19 ระบาด ผิดที่ผิดเวลา มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ?
วิกฤตไวรัส"โควิด-19" ระบาดไปทุกหัวระแหง ทำเศรษฐกิจทั่วทั้งโลกปั่นป่วนแค่ไหน คงไม่ต้องบอกกัน ขนาด "เฟด" ประกาศแบบฟ้าร้องมิทันอุดหู ปรับลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน ลงเร็ว ลงแรง เพื่ออัดฉีดระบบเศรษฐกิจ เป็นข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่า "ปัจจัยลบ" ทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดฝันจริงๆนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วโลก
ขณะที่เวิลด์แบงก์ ตั้งกองทุนเพื่อสู้ภัยไวรัสโควิด-19 กว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ นี่ก็เป็นคำตอบในตัวที่แสดงว่า องค์กรที่ทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจต่างก็ประเมินแล้วว่า เป็น"คราเคราะห์" ของเศรษฐกิจโลกร่วมกัน
แต่…ที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันก่อน “ดร.โกร่ง”วีรพงษ์ รามางกูร รับเชิญปาฐกถาเรื่อง“ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจไทย 2020” จัดโดยสถาบันสร้างไทย โดยที่ "ดร.โกร่ง" เหมาเข่ง จับ 3 วิกฤตมามัดรวมกัน ทั้ง“การเมือง-เศรษฐกิจ และกฎหมาย”ซึ่งทั้ง 3 อย่างเป็นเหตุให้โครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง และกระบวนการยุติธรรมของประเทศพังพินาศเกือบทั้งสิ้น ถือว่าเป็น“มหาวิกฤตการณ์”
"ดร.โกร่ง" ยังบอกว่า "รัฐบาลชุดนี้ช่างโง่เขลา" ที่ไม่รู้ว่า เศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของมหาวิกฤตการณ์ ซึ่งจะฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจปีนี้ได้ต้องพึ่งส่งออกเป็นหลัก เพราะการส่งออกมีมูลค่าถึง 70% ของรายได้ประชาชาติ เพราะถ้าหากประเทศไทยไม่ส่งออก ไม่มีนักท่องเที่ยว รายได้ประชาชาติจะเหลือ 30% ของรายได้ประชาชาติในขณะนี้ จะเกิดวิกฤตการณ์อย่างแน่นอน...
ถ้าเป็นภาวะปกติ นี่คงเป็นการวิเคราะห์ที่ชวนให้น่าตกใจยิ่ง แต่เพราะช่วงนี้มีเหตุไม่ปกติ ก่อนหน้านี้สงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน โดยเฉพาะสถานการณ์ไวรัส"โควิด-19" ซ้ำเติมเข้ามาอีก การส่งออกและท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากมองการเมือง และ กฎหมายที่ ดร.โกร่ง ว่ามาจริงๆ ก็เป็นปัญหามาตั้งแต่"รัฐบาลทักษิณ" เรื่อยมาจนถึง "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" มิใช่หรือ ?
ความจริงด้วยดีกรีของ "ดร.โกร่ง" แม้ว่าเด็กๆ สมัยนี้อาจจะงงๆ ว่า “ดร.โกร่ง”เป็นใคร ? ก็ต้องบอกว่า ดร.โกร่ง เคยเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลของ"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของ "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" บทบาทด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ ก็เคยเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจในหลายรัฐบาล และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ว่าด้วยความรู้ความเข้าใจเศรษฐศาสตร์การเงินการคลังในอดีต ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นที่นับหน้าถือตา แต่โลกวันนี้หมุนเร็ว ด้วยข้อมูลข่าวสารและ "บิ๊กดาต้า" ที่กูรูผู้รู้จริงวิเคราะห์ และเปิดโลกการเรียนรู้ที่หาได้ไม่ยาก อีกทั้งตัวเลขและดัชนีต่างๆ โกหกกันได้ยาก
คำถามคือ บนพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ กับยุคสมัยของ ดร.โกร่ง ยังใช้ได้หรือไม่ ...
ก็ไม่น่าแปลกใจ หากจะมีคนบอกว่า "ดร.โกร่ง" พูดอย่างมี "โทสาคติ" เกินไป แทนที่จะแนะนำด้วยความหวังดี กลับอาศัยวิกฤตของประเทศมาโจมตีรัฐบาล ซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมประเทศ... หรือนั่นเพราะเคยเป็นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงออกมาวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ หรือไม่ !!
จริงหรือไม่ "ดร.โกร่ง" ไม่ใช่คนโง่ ที่จะไม่รู้ว่าพื้นฐานของวิกฤตและความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ใช่เพิ่งเกิด...แต่มีมานานแล้ว
วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาด่าว่ากัน หากต้องการให้คำแนะนำ ทางออกและฝ่าวิกฤติเพื่อให้อยู่รอดด้วยกัน หรืออย่างน้อยก็อย่าให้เป็นอย่างคำโบราณว่า... ถ้ามือไม่พาย ก็อยาเอาเท้าราน้ำ
รูป -- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา –อนุทิน ชาญวีรกูล
-- วีรพงษ์ รามางกูร
"ลุงตู่ -หมอหนู" ดับกระแสหวาดผวา "ผีน้อย" จากเกาหลี จะมาพร้อมเชื้อ "โควิด-19" ...ประกาศชัดก่อนกลับต้องคัดกรอง กักตัว 14 วันก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องคัดกรอง และกักตัวในที่ที่รัฐจัดไว้ทุกคน เพื่อรอดูอาการอีก 14 วัน ก่อนให้กลับบ้าน
กรณีผู้ติดเชื้อ"โควิด-19" ที่เป็นคนไทยเสียชีวิตเป็นรายแรก ได้สร้างความหวาดผวา แก่คนไทยทั้งประเทศ ตามมาด้วยปัญหาหน้ากากอนามัยขาดตลาด ราคาแพง หาซื้อไม่ได้ ยิ่งสร้างความว้าวุ่นใจซ้ำเติมเข้าไปอีก
เมื่อมาเจอเรื่อง แรงงานไทยที่ไปทำงานอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่ประเทศเกาหลีใต้ หรือที่เรียกกันว่า "ผีน้อย" ขอเดินทางกลับประเทศหนีภัยโรคระบาด ที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่เมือง "แดกู และคยองซัง" กลายเป็นโจทย์ใหม่ ที่เพิ่มขึ้นมาโดยที่รัฐบาล ยังไม่ได้มีการเตรียมพร้อมรองรับ การให้ข่าวของผู้มีส่วนรับผิดชอบในรัฐบาล ก็ไปคนละทิศละทาง ไม่มีความชัดเจน...
โดยเฉพาะเรื่องการกักตัว 14 วัน เพื่อรอดูอาการนั้น ในช่วงแรกบอกว่าเมื่อแรงงานเหล่านี้เดินทางมาถึง จะมีการตรวจคัดกรองตามกระบวนการที่ปฏิบัติกันอยู่ ผู้ที่มีไข้ก็ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจพิสูจน์ว่าติดเชื้อมาหรือไม่ ... ส่วนผู้ที่ไม่มีไข้ ก็จะให้กลับไปกักตัวเองที่บ้าน...
เรื่องนี้เลยกลายเป็นประเด็นดรามาในโซเชียลฯ ขึ้นทันที ... บ้างก็บอกว่ารัฐบาลประมาท ที่ทำเช่นนี้ เพราะจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า ผู้ที่ยังไม่แสดงอาการไข้ จะไม่ได้รับเชื้อมา อาจะยังอยู่ในระยะฟักตัว ยังไม่แสดงอาการ ... แล้วการให้ไปกักตัวเองอยู่ที่บ้านจะมั่้นใจได้อย่างไร ว่าเขาจะไม่ออกไปพบปะผู้คน หรือมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปทำมาหากิน เพราะแรงงานที่ไปทำงานเกาหลี ไม่ได้ร่ำรวยกลับมาทุกคน ...
ตัวเลขของแรงงานที่จะกลับมาเหล่านี้ ก็ไม่แน่นอน บ้างว่าอยู่ในหลักพัน บ้างว่ามีเป็นหลักหมื่น ถึงหลายหมื่น รัฐบาลจะเอาอยู่หรือ ...กลายเป็นเรื่องโต้เถียง ลุกลามเป็นการแบ่งข้างว่า เห็นด้วย กับไม่เห็นด้วย ที่จะให้บรรดา "ผีน้อย" กลับประเทศ...ยกเรื่องกฎหมาย เรื่องมนุษยธรรม มาสาดใส่กัน ...สุดท้ายรัฐบาลต้องตกเป็นจำเลย รองรับอารมณ์ อย่างเลี่ยงไม่พ้น
"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงเรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางมาตรการรับมือที่แน่ชัด จนได้ข้อสรุปออกมาว่า จะมีการคัดกรองอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง และปลายทาง ...โดยต้นทางนั้นได้ให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงคมนาคม ประสานกับทางการเกาหลีใต้ ในการตรวจคัดกรองว่าแต่ละคนทำงานอยู่ที่ไหน มาจากเมืองไหน มีความเสี่ยงมากหรือไม่ ถ้าใครมีไข้ ก็ไม่ให้ขึ้นเครื่อง และถ้าคนที่ขึ้นเครื่องมาแล้ว เกิดมีอาการไข้ในระหว่างเดินทาง ก็ให้แยกที่นั่ง แยกการใช้ห้องน้ำออกไปต่างหาก
เมื่อมาถึงประเทศไทยแล้ว ต้องมีการคัดกรองอย่างเข้มงวดอีกครั้ง ใครมีไข้ ก็ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ตรวจเช็กอาการ ตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อ "โควิด-19" หรือไม่ และกักตัวไว้จนมีความมั่นใจ... ส่วนผู้ที่เดินทางมาจาก "เมืองแดกู และคยองซัง" ซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดหนัก ถึงแม้จะไม่มีอาการไข้ก็ต้องเข้าสู่พื้นที่กักกันของรัฐ ที่เรียกว่า "พื้นที่ควบคุมโรค" เพื่อรอดูอาการ 14 วัน จะไม่มีการปล่อยให้ไปกักกันตัวเองที่บ้านเด็ดขาด
ส่วนผู้ที่เดินทางจากเมืองอื่น แล้วไม่มีอาการไข้ ก็จะถูกกักตัว 14 วัน ในสถานที่ที่รัฐบาลจัดไว้ให้เช่นกัน ซึ่งมีข่าวว่ารัฐบาลเตรียมใช้ โรงพยาบาลทหาร ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 รองรับ เพราะแรงงานส่วนใหญ่ มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดภาคอีสาน และในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ก็มีโรงพยาบาลทหาร อยู่ในค่าย ทั้ง10 มณฑลทหารบก (มทบ.) กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ และ ทางกองทัพบกก็ได้สั่งการไปยัง มณฑลทหารบก 37 แห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่มีโรงพยาบาลอยู่ภายในค่าย ให้เตรียมพร้อมจัดสถานที่ บุคลากร ไว้รองรับภารกิจนี้ด้วย
ขณะที่"หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ก็ออกมาแถลงข่าว ตอกย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้งว่า ได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศ เจรจากับทางเกาหลีใต้ ให้คัดกรองผู้ที่จะเดินทางกลับ "ต้องกักกันตัวเอง" เป็นเวลา 14 วันก่อน จึงให้คัดกรองอีกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง ถ้ามีไข้ ก็ยังขึ้นเครื่องไม่ได้ ต้องเข้ารับการรักษาก่อน ... ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาเมื่อเดินทางกลับมาถึงไทย ก็จะถูกวัดไข้อีกครั้ง หากมีไข้ ก็เข้าโรงพยาบาลตามระบบ หากไม่มีไข้ก็ยังคงต้องถูกกักกันเพื่อเฝ้าระวังโรคอีก 14 วัน ในพื้นที่ที่รัฐจัดไว้ให้ ... รวมทั้งหมดคนกลุ่มนี้ จะต้องถูกกักเป็นเวลา 28 วัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น และขอให้ทยอยเดินทางกลับ เพื่อจะได้ดูแลได้อย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ
ส่วนที่ไม่ใช่ "กลุ่มผีน้อย" ... ทุกคนที่เดินทางมาจากเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือต่างชาติ ไม่ว่าจะมาจากเมืองใดก็ตาม เมื่อมาถึงประเทศไทย ก็ต้องมีการคัดกรอง และกักกันในสถานที่ที่รัฐจัดไว้ เพื่อเฝ้าระวัง 14 วัน เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะมีไข้ หรือไม่มีไข้ก็ตาม
เมื่อนายกฯ "ลุงตู่" และ "หมอหนู" ออกมาประกาศมาตรการที่รัดกุมเช่นนี้ น่าจะเป็นหลักประกันความมั่นใจของคนในประเทศได้มากขึ้น และสามารถดับกระแสดรามา ความวิตกกังวล หวาดผวา ถึงการกลับบ้านของ "ผีน้อย" เหล่านี้ได้ทันเวลา
ทันเวลา
**“ดร.โกร่ง”ว่ารัฐบาลโง่เขลา บริหารเศรษฐกิจช่วงเวลา โควิด-19 ระบาด ผิดที่ผิดเวลา มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ?
วิกฤตไวรัส"โควิด-19" ระบาดไปทุกหัวระแหง ทำเศรษฐกิจทั่วทั้งโลกปั่นป่วนแค่ไหน คงไม่ต้องบอกกัน ขนาด "เฟด" ประกาศแบบฟ้าร้องมิทันอุดหู ปรับลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน ลงเร็ว ลงแรง เพื่ออัดฉีดระบบเศรษฐกิจ เป็นข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่า "ปัจจัยลบ" ทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดฝันจริงๆนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วโลก
ขณะที่เวิลด์แบงก์ ตั้งกองทุนเพื่อสู้ภัยไวรัสโควิด-19 กว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ นี่ก็เป็นคำตอบในตัวที่แสดงว่า องค์กรที่ทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจต่างก็ประเมินแล้วว่า เป็น"คราเคราะห์" ของเศรษฐกิจโลกร่วมกัน
แต่…ที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันก่อน “ดร.โกร่ง”วีรพงษ์ รามางกูร รับเชิญปาฐกถาเรื่อง“ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจไทย 2020” จัดโดยสถาบันสร้างไทย โดยที่ "ดร.โกร่ง" เหมาเข่ง จับ 3 วิกฤตมามัดรวมกัน ทั้ง“การเมือง-เศรษฐกิจ และกฎหมาย”ซึ่งทั้ง 3 อย่างเป็นเหตุให้โครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง และกระบวนการยุติธรรมของประเทศพังพินาศเกือบทั้งสิ้น ถือว่าเป็น“มหาวิกฤตการณ์”
"ดร.โกร่ง" ยังบอกว่า "รัฐบาลชุดนี้ช่างโง่เขลา" ที่ไม่รู้ว่า เศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของมหาวิกฤตการณ์ ซึ่งจะฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจปีนี้ได้ต้องพึ่งส่งออกเป็นหลัก เพราะการส่งออกมีมูลค่าถึง 70% ของรายได้ประชาชาติ เพราะถ้าหากประเทศไทยไม่ส่งออก ไม่มีนักท่องเที่ยว รายได้ประชาชาติจะเหลือ 30% ของรายได้ประชาชาติในขณะนี้ จะเกิดวิกฤตการณ์อย่างแน่นอน...
ถ้าเป็นภาวะปกติ นี่คงเป็นการวิเคราะห์ที่ชวนให้น่าตกใจยิ่ง แต่เพราะช่วงนี้มีเหตุไม่ปกติ ก่อนหน้านี้สงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน โดยเฉพาะสถานการณ์ไวรัส"โควิด-19" ซ้ำเติมเข้ามาอีก การส่งออกและท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากมองการเมือง และ กฎหมายที่ ดร.โกร่ง ว่ามาจริงๆ ก็เป็นปัญหามาตั้งแต่"รัฐบาลทักษิณ" เรื่อยมาจนถึง "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" มิใช่หรือ ?
ความจริงด้วยดีกรีของ "ดร.โกร่ง" แม้ว่าเด็กๆ สมัยนี้อาจจะงงๆ ว่า “ดร.โกร่ง”เป็นใคร ? ก็ต้องบอกว่า ดร.โกร่ง เคยเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลของ"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของ "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" บทบาทด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ ก็เคยเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจในหลายรัฐบาล และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ว่าด้วยความรู้ความเข้าใจเศรษฐศาสตร์การเงินการคลังในอดีต ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นที่นับหน้าถือตา แต่โลกวันนี้หมุนเร็ว ด้วยข้อมูลข่าวสารและ "บิ๊กดาต้า" ที่กูรูผู้รู้จริงวิเคราะห์ และเปิดโลกการเรียนรู้ที่หาได้ไม่ยาก อีกทั้งตัวเลขและดัชนีต่างๆ โกหกกันได้ยาก
คำถามคือ บนพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ กับยุคสมัยของ ดร.โกร่ง ยังใช้ได้หรือไม่ ...
ก็ไม่น่าแปลกใจ หากจะมีคนบอกว่า "ดร.โกร่ง" พูดอย่างมี "โทสาคติ" เกินไป แทนที่จะแนะนำด้วยความหวังดี กลับอาศัยวิกฤตของประเทศมาโจมตีรัฐบาล ซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมประเทศ... หรือนั่นเพราะเคยเป็นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงออกมาวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ หรือไม่ !!
จริงหรือไม่ "ดร.โกร่ง" ไม่ใช่คนโง่ ที่จะไม่รู้ว่าพื้นฐานของวิกฤตและความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ใช่เพิ่งเกิด...แต่มีมานานแล้ว
วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาด่าว่ากัน หากต้องการให้คำแนะนำ ทางออกและฝ่าวิกฤติเพื่อให้อยู่รอดด้วยกัน หรืออย่างน้อยก็อย่าให้เป็นอย่างคำโบราณว่า... ถ้ามือไม่พาย ก็อยาเอาเท้าราน้ำ
รูป -- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา –อนุทิน ชาญวีรกูล
-- วีรพงษ์ รามางกูร