xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ชิงปิดเกม โหนอียิปต์ป่วนระยอง !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา



หากมองในแง่บวกก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคนไทยที่บางครั้งมีกระแส “ตื่น” จนบางครั้งแยกไม่ออกระหว่างตื่นตัว หรือ “ตื่นตูม” เหมือนกับกรณีที่กำลังเกิดขึ้นกับ “ทหารอียิปต์” และครอบครัวของทูตประเทศซูดาน ที่เข้าประเทศโดยใช้สิทธิพิเศษตาม มาตรา 9 ของพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี 2548 โดยมีการตรวจพบสองราย ที่ติดเชื้อโควิด-19 โดยปัญหาเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาได้ออกไปเพ่นพ่านข้างนอก ทำให้คนอื่นพลอยเกิดความเสี่ยงกับการติดเชื้อตามไปด้วย โดยเฉพาะการหวาดวิตกว่าจะเกิดการแพร่ระบาดในรอบที่สอง เหมือนกับที่หลายประเทศกำลังประสบอยู่ในเวลานี้


ทั้งสองกรณีได้ทำให้เกิดความตื่นกลัวจนกลายเป็น “กระแส” ลุกลามออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เฉพาะแต่ในพื้นที่ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวพักอาศัย และเดินทางออกไปข้างนอก

เริ่มจากกรณีของทหารอียิปต์ที่จังหวัดระยองจำนวนหนึ่ง ที่ตามรายงานระบุว่า ได้แอบหนีออกไปเดินเที่ยวบริเวณห้างสรรพสินค้า ทำให้มีการสัมผัสกับคนภายนอกหลายคน จนเกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อตามมา รวมไปถึงเจ้าหน้าที่และแขกที่พักหรืออยู่ใกล้ชิดในบริเวณโรงแรมที่ทหารอียิปต์เหล่านี้เข้าพักอีกด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบติดตามพบว่า มีบุคคลที่เกิดความเสี่ยงหลายคน ทั้งที่เป็นเด็กนักเรียน และญาติคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องจนต้องมีการสั่งปิดโรงเรียนในหลายพื้นที่ต่อเนื่องกันหลายจังหวัด

กระแสที่มีทั้งความตื่นตระหนก ตื่นกลัวครั้งนี้ มาพร้อมกับความโกรธในกรณีที่ทราบข่าวว่าคนเหล่านี้เข้ามาโดยใช้ “เอกสิทธิ์”มาตามเงื่อนไขพิเศษทางการทูต ที่ยกเว้นเอาไว้ใน มาตรา 9 ตามพระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2548 ในความหมายที่เข้าใจกันก็คือ คนพวกนี้ใช้ “อภิสิทธิ์” เหนือคนไทย และที่สำคัญ จากคลิปข่าวยังได้เห็นพฤติกรรม “กร่าง” ของทหารอียิปต์กลุ่มนี้ ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการตรวจเชื้อยืนยันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทย และในที่สุดเมื่อผลการตรวจเชื้อพบว่าหนึ่งในนั้นมีการติดเชื้อแล้วยังเที่ยวเดินเพ่นพ่าน

รวมทั้งกรณีของเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ จากครอบครัวทูตซูดาน ที่มีข้อมูลจากฝ่ายสาธารณสุขของไทย ระบุว่า ในเที่ยวบินที่พวกเขาเดินทางเข้าไทยมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนถึง 12 คน และสำหรับเด็กหญิงคนดังกล่าว ก็มีการตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดมาตั้งแต่ที่สนามบินแล้ว แต่ก็ต้องปล่อยให้เข้ามากักตัวเอง ตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น มันก็ยิ่งทำให้ “กระพือความโกรธ” ของคนไทยว่า คนต่างชาติเหล่านี้ใช้ “อภิสิทธิ์” แล้วทำให้คนไทยพลอยเดือดร้อนไปด้วย

แน่นอนว่า เรื่องราวที่กำลังร้อนแรงอยู่ในเวลานี้ มันก็เหมือนกับการ “ฉวยโอกาสผสมโรง” ของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ได้จังหวะถล่มอีกครั้ง เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่มีการระบาดในช่วงแรกๆ ที่รัฐบาลกำลังเจียนอยู่เจียนไปเหมือนกัน โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่โดนถล่มหนัก มีการสร้างกระแสในแบบที่ว่า “ผู้นำไม่ฉลาด” แต่ในที่สุดก็สามารถแก้เกมจนสามารถควบคุมโรคระบาดได้เป็นผลสำเร็จ และสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้านอย่างมากมาย


คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน สำหรับในกรณีของทหารอียิปต์ และครอบครัวทูตซูดาน นอกเหนือจากความตื่นกลัวของชาวบ้านในพื้นที่อย่างแท้จริงแล้ว ยังมีเรื่องของ “กระแสผสมโรง” จนเกินเหตุเพื่อหวังผลทางการเมือง ถล่มรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าที่ผ่านมา เขาได้มีการเอ่ยคำขอโทษ แต่ย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการ “ไม่เคารพกติกา” ของบางคน และล่าสุด ก็ได้มีการทบทวนการผ่อนปรนเงื่อนไขดังกล่าวไปแล้ว

อย่างไรก็ดี เมื่อกระแสยังไม่ลดลง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมคณะ ที่ประกอบด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย คณะแพทย์ต้องบินด่วนลงพื้นที่จังหวัดระยอง เมื่อเย็นวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทันที ซึ่งเป้าหมายก็คือ ลงไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ และสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่และทั่วประเทศ ที่กำลังเริ่มตื่นตระหนก และกังวลว่าจะมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่

หากพิจารณาตามความเป็นจริงในเวลานี้ถือว่ายังมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากยังมีการสวมหน้ากากนามัยกันอย่างเข้มข้น ถือว่าเป็นการป้องกันโรคได้ระดับที่ดี อีกทั้งผลตรวจเชื้อกับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด ก็ยังมีผลเป็นลบ นั่นคือ ยังไม่พบเชื้อ แต่ต้องเฝ้าระวังต่อไป

แต่เชื่อว่าเป้าหมายที่แท้จริงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งนี้ที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ น่าจะมีเรื่องการ “ตัดเกม” การสร้างกระแสทางการเมือง ที่เริ่มออกมาผสมโรงกันมากขึ้น และแน่นอนว่า การลงพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจ รวมไปถึงการให้คำมั่นว่าจะมีมาตรการในการป้องกันอย่างเต็มที่ ก็คงจะลดระดับความร้อนแรงลงไปได้มาก

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้หากมองในอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นผลบวกเหมือนกัน อย่างน้อยมันก็ทำให้เกิดการ “ตื่นตัว” ให้กลับมาอีกครั้ง หลังจากเริ่มเห็นการเฉยเมย มีอาการประมาท เริ่มเห็นการไม่สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะกันมากขึ้น !!


กำลังโหลดความคิดเห็น