เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าภาวการณ์เกิดโรคระบาดจากเชื้อไวรัส โควิด-19 กำลังสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากขึ้นทุกวัน ล่าสุด ก็ยังมาเจอกับข่าวการเปิดโปงว่ามีคนใกล้ชิดหรือทีมงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัยจำนวนนับล้านชิ้น เพื่อขายทำกำไร ซึ่งตามข่าวอ้างว่ามีราว 5 ล้านชิ้น หรือมากถึง 200 ล้านชิ้น
แม้ว่าหากตั้งสติพิจารณากันอย่างละเอียด และที่มาที่ไปและรายละเอียดของข่าวมันก็ยังดู “ทะแม่ง” พิกล
ไม่จริงยังต้องพิสูจน์กันอีกสักพัก แต่ในเมื่อเป็นการเล่นกับความรู้สึกร่วมของสังคมแบบนี้มันก็ต้องมัน “หนักหน่วง” สร้างความสั่นสะเทือนไปถึงรัฐบาล รวมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาลเข้าอย่างจังแบบประดังเข้ามารัวๆ เพราะที่ผ่านมา เพียงแค่เรื่องการบริหารจัดการเรื่องการกระจายหน้ากากอนามัยของ กระทรวงพาณิชย์ ที่อยู่ในการกำกับดูแลของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวง และในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วมรัฐบาล ที่มาจนถึงวันนี้ที่การแพร่ระบาดของโรคผ่านมานานนับเดือนแล้ว แต่กลายเป็นว่ายิ่งนับวันการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ยังไม่มีการบริหารจัดการกระจายไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนไม่เพียงพอ และนับวันยิ่งวิกฤตหนักขึ้นทุกวัน เพราะกลายเป็นว่าหาซื้อไม่ได้ แม้ว่าจะย้ำว่าได้ใช้อำนาจทางกฎหมายเกี่ยวกับสินค้าควบคุมนำมากระจายไปให้หน่วยงานห้างร้านต่างๆ เองแล้วก็ตาม แต่ก็สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น
ชาวบ้านยังหาซื้อหน้ากากอนามัยตามร้านค้า ไม่ได้เหมือนเดิม มีแต่คำตอบว่า “หมดแล้ว” หรือไม่เคยได้รับการจัดสรรโควตาจากกระทรวงพาณิชย์มาขายเลย เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้อง “โดนด่า” เต็มๆ จากชาวบ้าน เพราะเป็นเรื่องของ “กระแส” ความรู้สึกของชาวบ้านไปแล้ว อีกทั้งเวลานี้เป็นสังคมของโซเชียลที่มีการ “ปั่นกระแส” ชักนำไปในทางการเมืองได้ง่ายมันก็ไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาผลงานของกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การบริหารจัดการของพรรคร่วมรัฐบาลอีกพรรคหนึ่งคือ พรรคภูมิใจไทย ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ควบทั้งรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่กำลังเจอแรงกระหน่ำเข้ามาเป็นรายวัน แม้ว่าอาจจะน้อยกว่ากระทรวงพาณิชย์ของ นายจุรินทร์ ก็ตาม แต่ก็ถือว่า “อาการหนัก” ไม่แพ้กัน
จะเป็นเพราะการชี้แจง หรือการออกคำสั่งที่ออกมาก่อนหน้านี้ ยังสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านได้ไม่มาก หรือเป็นเพราะคำสั่งของกระทรวงมีความสับสนกันแน่ เพราะชาวบ้านหรือคนทั่วไปยังไม่รับรู้หรือจดจำไม่ได้ทั้งหมดว่ามีประเทศใดบ้างที่เป็นประเทศเสี่ยงจากโรค ว่า เมื่อเดินทางมาจากประเทศเหล่านั้นจะต้องถูกกักตัวเพื่อสังเกตอาการโรคเป็นเวลา 14 วัน หรือมีการกักตัวเฉพาะคนไทยเท่านั้น เหมือนกับคนไทยที่มาจากเกาหลี หรือที่เรียกว่า “ผีน้อย” เท่านั้น ที่ต้องถูกกักตัว แต่คนอื่น ทั้งคนเกาหลี หรือนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงตามประกาศจะต้องถูกกักตัวหรือไม่ ถ้ามีแล้วจะกักตัวที่ไหนหากเป็นนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติ
แต่ในสภาพความเป็นจริงเวลานี้ ก็คือ มีเพียงแต่คนไทยที่มาจากเกาหลีเท่านั้นที่ถูกกักตัว แต่เชื่อว่า ยังมีอีกหลายคนที่กลับมาก่อนหน้านี้ และที่กำลังจะตามมาอีกมากจะต้องถูกกักตัวจะมีสถานที่เพียงพอหรือไม่ และที่สำคัญกำลังจะสร้างความแตกแยกระหว่างคนไทยด้วยกันหรือไม่ เพราะความรู้สึกตื่นกลัวจากความไม่เข้าใจจากภาวการติดต่อของโรค
สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ เวลานี้ประเทศไทยยังไม่กล้าตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่าจะเอาแบบไหนกันแน่ จะแบบ “ปิดประเทศ” ชั่วคราวเพื่อกักกันโรค เพราะเวลานี้เหมือนกับว่าจะทำทั้งสองอย่างนั่นคือ ยังต้องการนักท่องเที่ยว แต่ไม่กักตัว หรือกักเฉพาะคนไทยที่มาจากบางประเทศหรือไม่
ประกอบกับการ “ขาดแคลน” หน้ากากอนามัย ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านประดังเข้าใส่รัฐบาลอย่างรวดเร็ว และหากมีการบริหารจัดการไม่ดี ยังไม่คลี่คลายภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้เชื่อว่า รัฐบาล “ลุงตู่” อาจจะต้องอยู่ในสภาวะลำบากแบบไม่คาดคิดก็เป็นได้
เพราะแม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจะสามารถผ่านพ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านมาได้แบบสบายๆ แต่เมื่อเจอกับเรื่องการแฉในเรื่องขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยที่กล่าวหาว่ามีคนของรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐมนตรีคนนี้ก็คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เมื่อครั้งอภิปรายซักฟอก ก็ได้รับเสียงไว้วางใจน้อยที่สุด และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งคำถามว่าชี้แจงข้อกล่าวหาไม่เคลียร์ มาคราวนี้เมื่อเจอเข้า “อีกดอก” จังๆ แบบนี้ อาจทำให้ต้องรีบตัดสินใจบางอย่างตามมาหรือเปล่า
ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เที่ยวนี้ถือว่า เข้ามาบริหารจัดการที่กระทรวงพาณิชย์ในภาวะวิกฤตได้อย่างน่าผิดหวัง รวมไปถึงผลงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ถือว่าเป็นกระทรวงเกรดเอ แต่เมื่อพิจารณาจากผลงานรวมๆแล้วก็อย่างที่เห็นนั่นแหละว่าเป็นอย่างไร
จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลานี้มันก็อาจถึงเวลาบีบคั้นให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องเร่งตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” ที่ก่อนหน้านี้ ย้ำว่า ยังไม่ถึงเวลา อาจต้องจัดการให้เร็วขึ้น และสามารถลดแรงกัดดันจากสังคมได้มากขึ้น เมื่อพิจารณาจากผลงานและความอื้อฉาวที่ผ่านมา !!