**“ก็ถอนไปสิ”เป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าว เรื่องที่มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางคนเสนอให้พรรคถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากเกิดกรณีที่มีการเปิดโปงระบุว่า มีคนติดตามของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย โดยมีข้อความที่ส่งต่อกันภายในด้วยคำที่รุนแรงว่า “ให้หยุดพายเรือให้โจรนั่ง”
ขณะเดียวกันยังเรียกร้อง กดดันข้ามพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ให้ปรับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นจากรัฐมนตรีอีกด้วย
แม้ว่าล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกมา “ขอโทษ”ที่บอกว่าเป็นคำพูดแบบ “ปากไว”เมื่อถูกสื่อตั้งคำถามแบบเร็ว จึงตอบเร็วไปหน่อย พร้อมทั้งกล่าวในทำนองว่าได้มอบหมายให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนพูดคุยกันภายในพรรคแล้ว
ขณะเดียวกันหากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล เป็นหนึ่งในหกของรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก และได้รับเสียงไว้วางใจน้อยที่สุด ในบรรดารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายในครั้งนี้ โดยมีส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความข้องใจ โดยอ้างว่ายังชี้แจงไม่เคลียร์ แม้ว่าในการลงมติในสภาฯ พวกเขาจะโหวตให้ แต่การลงมติในพรรค พวกเขาก็โหวตไปอีกทางหนึ่ง แต่ก็แพ้มติเสียงส่วนใหญ่ของพรรคดังกล่าว
นั่นคือความเป็นมา และหากพิจารณากันให้ลึกลงไปอีก ส.ส.พวกที่มีท่าทีไม่เอา ร.อ.ธรรมนัส นั้นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดล้วนอยู่ในสายหรือเคยสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน และเป็นคนละกลุ่มอำนาจในพรรคเวลานี้ แม้ว่าจะคนละเรื่อง แต่ก็อาจจะมองว่าเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน”ก็ได้
**เพราะพวกเขามีท่าทีไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และไม่เห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาล และที่สำคัญบรรดา ส.ส.หรือในกลุ่มนี้ ล้วนได้ไม่เป็นรัฐมนตรีเลย รวมไปถึงมีหลายคนยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งอีกด้วย
อีกทั้งที่ผ่านมา พวกเขาก็มักมีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึงแกนนำรัฐบาลบางคนมาอย่างต่อเนื่อง และกรณีล่าสุดก็ยังมี ส.ส.และ อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยอยู่ในสายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอยู่คนละขั้วกับผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ก็ยังแสดงความเห็นผ่านทางโชเชียลฯ อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี หากวกกลับมาพิจารณาผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ผ่านทางรัฐมนตรีของพรรคในรัฐบาลชุดนี้ หากกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า ยังไม่มีความโดดเด่น หรือมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพูดถึงเรื่อง“หน้ากากอนามัย”ที่เวลานี้กำลังเป็นที่ต้องการของประชาชน และมีความขาดแคลนอย่างหนัก ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลในการกระจาย และการจำหน่ายในเวลานี้ก็คือ กระทรวงพาณิชย์ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่เป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่จะว่าไปแล้วผลงานของกระทรวงพาณิชย์กำลัง “ถูกด่า”อย่างหนักในเวลานี้ว่าบริหารจัดการล้มเหลว ทั้งที่ไวรัส โควิด 19 ระบาดมานานนับเดือนแล้ว
** ที่ผ่านมามีการคาดเดากันว่าต้องมีการกักตุน มีการขายแพง และที่สำคัญคือ “ขาดตลาด”แต่กระทรวงพาณิชย์ กลับไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ ก็ยังขาดแคลนหน้ากากอนามัย
แน่นอนว่ากรณีของคนติดตาม หรือว่าคนใกล้ชิดของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ถูกเพจหนึ่งแฉว่า เกี่ยวข้องกับการกักกุนหน้ากากอนามัยนับล้านชิ้น หรืออ้างมีกักตุนถึง 200 ล้านชิ้น คำถามก็คือ จำนวนมากขนาดนั้นมันน่าจะเป็นไปได้แค่ไหน เมื่อพิจารณาจากจำนวนการผลิตของโรงงานเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทย เพียงแค่วันละ 1.2 ล้านชิ้น หรืออย่างมากวันละ 1.35 ล้านชิ้น เท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก และต้องสืบสวนหาความผิดไปถึงต้นตอให้ได้ว่า จริงเท็จอย่างไร มีใครอยู่เบื้องหลังบ้าง
แต่ที่ต้องพิจารณากันต่อเนื่องก็คือ ในภาพรวมเวลานี้ต่อเนื่องกันมาคำถามก็คือผลงานของรัฐมนตรีในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์มีผลงานโดดเด่นแค่ไหน การบริหารจัดการเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยได้ดีแค่ไหน และหากมีการตัดสินใจถอนตัวจากรัฐบาลจะทำให้ภาพของพรรคประชาธิปัตย์ มีภาพเป็นบวกในแบบที่เรียกว่าเป็น “พระเอก”ได้หรือไม่ หรือว่าหากมองอีกมุมหนึ่งการออกมาเขย่าครั้งนี้ เป็นเพียง “เกมต่อรอง”เพื่อกดดันให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี เกลี่ยเก้าอี้กันใหม่ในพรรคเท่านั้น หรือไม่ !!
ขณะเดียวกันยังเรียกร้อง กดดันข้ามพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ให้ปรับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นจากรัฐมนตรีอีกด้วย
แม้ว่าล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกมา “ขอโทษ”ที่บอกว่าเป็นคำพูดแบบ “ปากไว”เมื่อถูกสื่อตั้งคำถามแบบเร็ว จึงตอบเร็วไปหน่อย พร้อมทั้งกล่าวในทำนองว่าได้มอบหมายให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนพูดคุยกันภายในพรรคแล้ว
ขณะเดียวกันหากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล เป็นหนึ่งในหกของรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก และได้รับเสียงไว้วางใจน้อยที่สุด ในบรรดารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายในครั้งนี้ โดยมีส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความข้องใจ โดยอ้างว่ายังชี้แจงไม่เคลียร์ แม้ว่าในการลงมติในสภาฯ พวกเขาจะโหวตให้ แต่การลงมติในพรรค พวกเขาก็โหวตไปอีกทางหนึ่ง แต่ก็แพ้มติเสียงส่วนใหญ่ของพรรคดังกล่าว
นั่นคือความเป็นมา และหากพิจารณากันให้ลึกลงไปอีก ส.ส.พวกที่มีท่าทีไม่เอา ร.อ.ธรรมนัส นั้นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดล้วนอยู่ในสายหรือเคยสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน และเป็นคนละกลุ่มอำนาจในพรรคเวลานี้ แม้ว่าจะคนละเรื่อง แต่ก็อาจจะมองว่าเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน”ก็ได้
**เพราะพวกเขามีท่าทีไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และไม่เห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาล และที่สำคัญบรรดา ส.ส.หรือในกลุ่มนี้ ล้วนได้ไม่เป็นรัฐมนตรีเลย รวมไปถึงมีหลายคนยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งอีกด้วย
อีกทั้งที่ผ่านมา พวกเขาก็มักมีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึงแกนนำรัฐบาลบางคนมาอย่างต่อเนื่อง และกรณีล่าสุดก็ยังมี ส.ส.และ อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยอยู่ในสายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอยู่คนละขั้วกับผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ก็ยังแสดงความเห็นผ่านทางโชเชียลฯ อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี หากวกกลับมาพิจารณาผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ผ่านทางรัฐมนตรีของพรรคในรัฐบาลชุดนี้ หากกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า ยังไม่มีความโดดเด่น หรือมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพูดถึงเรื่อง“หน้ากากอนามัย”ที่เวลานี้กำลังเป็นที่ต้องการของประชาชน และมีความขาดแคลนอย่างหนัก ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลในการกระจาย และการจำหน่ายในเวลานี้ก็คือ กระทรวงพาณิชย์ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่เป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่จะว่าไปแล้วผลงานของกระทรวงพาณิชย์กำลัง “ถูกด่า”อย่างหนักในเวลานี้ว่าบริหารจัดการล้มเหลว ทั้งที่ไวรัส โควิด 19 ระบาดมานานนับเดือนแล้ว
** ที่ผ่านมามีการคาดเดากันว่าต้องมีการกักตุน มีการขายแพง และที่สำคัญคือ “ขาดตลาด”แต่กระทรวงพาณิชย์ กลับไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ ก็ยังขาดแคลนหน้ากากอนามัย
แน่นอนว่ากรณีของคนติดตาม หรือว่าคนใกล้ชิดของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ถูกเพจหนึ่งแฉว่า เกี่ยวข้องกับการกักกุนหน้ากากอนามัยนับล้านชิ้น หรืออ้างมีกักตุนถึง 200 ล้านชิ้น คำถามก็คือ จำนวนมากขนาดนั้นมันน่าจะเป็นไปได้แค่ไหน เมื่อพิจารณาจากจำนวนการผลิตของโรงงานเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทย เพียงแค่วันละ 1.2 ล้านชิ้น หรืออย่างมากวันละ 1.35 ล้านชิ้น เท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก และต้องสืบสวนหาความผิดไปถึงต้นตอให้ได้ว่า จริงเท็จอย่างไร มีใครอยู่เบื้องหลังบ้าง
แต่ที่ต้องพิจารณากันต่อเนื่องก็คือ ในภาพรวมเวลานี้ต่อเนื่องกันมาคำถามก็คือผลงานของรัฐมนตรีในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์มีผลงานโดดเด่นแค่ไหน การบริหารจัดการเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยได้ดีแค่ไหน และหากมีการตัดสินใจถอนตัวจากรัฐบาลจะทำให้ภาพของพรรคประชาธิปัตย์ มีภาพเป็นบวกในแบบที่เรียกว่าเป็น “พระเอก”ได้หรือไม่ หรือว่าหากมองอีกมุมหนึ่งการออกมาเขย่าครั้งนี้ เป็นเพียง “เกมต่อรอง”เพื่อกดดันให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี เกลี่ยเก้าอี้กันใหม่ในพรรคเท่านั้น หรือไม่ !!