เมืองไทย 360 องศา
กำลังกลายเป็นเรื่องราวที่สร้างความเจ็บปวด เจ็บแค้นคนไทยทั้งประเทศกันไม่น้อย สำหรับการที่มีห้างสรรพสินค้าในบางประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และ เนเธอร์แลนด์ แบนผลิตภัณฑ์กะทิและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมะพร้าวของประเทศไทย อ้างว่า มีการทำทารุณกรรมลิงที่ถูกจับมาใช้ขึ้นมะพร้าว โดยเป็นการทำตามข้อเรียกร้องขององค์กรประชาชนเพื่อการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีจริยธรรม (พีตา) ทำให้เวลานี้มีหลายห้างสรรพสินค้าในประเทศดังกล่าวเริ่มถอดสินค้าประเภทกะทิ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมะพร้าวที่นำเข้าจากประเทศไทย ออกไปจากชั้นวางสินค้าแล้ว
อย่างไรก็ดี มีหลายคนมองว่าเป็นการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิด รวมไปถึงเรื่องที่อาจถูกมองว่าพวกฝรั่งเหล่านี้มีอคติ มีพฤติกรรมไม่ต่างจาก “หมาป่ากับลูกแกะ” ติดนิสัยของพวกนักล่าอาณานิคม ว่ากันไปแบบนั้นเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน เชื่อว่า หลังจากนี้ ทางการไทยก็คงต้องมีการเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง รวมถึงต้องมีการชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมการนำบรรดาคณะทูตจากประเทศต่างๆ มารับฟังข้อมูลที่แท้จริง รวมทั้งพาไปดูความเป็นอยู่ของลิงเหล่านั้น ว่ามีการทารุณตามที่มีการเข้าใจกันหรือไม่
แน่นอนว่า หากพิจารณากันเฉพาะบุคคลก็ต้องยอมรับว่าอาจมีบ้างที่อาจมีการกระทำรุนแรงต่อสัตว์ ก็ต้องยอมรับกัน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น และที่สำคัญ การใช้ลิงเก็บมะพร้าว ก็เกิดขึ้นในบางพื้นที่ ที่อายุของมะพร้าวมีอายุหลายสิบปี ต้นสูงใช้คนปีนไม่ไหว อีกทั้งนี่คือวิถีชีวิตของชาวสวน ระหว่างเจ้าของลิงกับลิง ที่ต้องพึ่งพากัน โดยเฉพาะเจ้าของที่ใช้ลิงขึ้นมะพร้าวหารายได้ ก็ย่อมต้องเลี้ยงดูอย่างดี มีการเอาใจใส่ มีความผูกพันกันมานาน
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับกันเหมือนกันว่าการถูก “แบน” ครั้งนี้ ย่อมต้องมีผลกระทบกับชาวสวนมะพร้าวทั้งประเทศไปด้วย รวมไปถึงตัวลิงด้วย เพราะเป็นของคู่กัน เนื่องจากกะทิของไทยได้อาศัยตลาดส่งออกในประเทศแถบนี้ในแต่ละปีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ดี การที่บรรดาฝรั่งเหล่านั้น มีการหาเหตุจากเรื่องการทารุณลิงจนนำมาสู่การแบนผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับมะพร้าวของไทย มองบางมุมก็อาจแค่ทำใจได้บ้าง เพราะเหมือนกับว่าเราตกเป็น “เบี้ยล่าง” ต้องพึ่งพาตลาดส่งออก แต่ที่น่าเจ็บปวดและเจ็บใจก็คือ ดันมีคนไทยด้วยกันเองมาซ้ำเติมความเดือดร้อนเหล่านี้ ด้วยการโพสต์ข้อความ และภาพสนับสนุนการแบนสินค้าไทยดังกล่าวของฝรั่งต่างชาติเสียอีก
และกลายเป็นว่า คนที่เรียกว่า “โหนลิง” ครั้งนี้เป็น ส.ส.จาก “พรรคก้าวไกล” เสียด้วย โดยเห็นดีเห็นงามไปกับข้อมูลของพวกฝรั่งดังกล่าว แล้วมาแบนสินค้าไทย ซึ่งก็โดนรุมถล่มกันยับเยินในโลกโซเชียล ขณะเดียวกัน ทั้งภาพและข้อมูลที่นำมาโพสต์ ก็ยังถูกจับได้อีกว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ และเป็นภาพเก่ามาตัดต่อแล้วโพสต์
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ว่านี้หากมองในบางมุมก็ต้องถือว่า “ไปไกล” สุดกู่ เพราะถึงขั้นที่เข้าใจยาก เพราะไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ความเจ็บปวดของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวของไทยที่ต้องเดือดร้อน เพียงหวังแค่ว่า คิดจะได้ทีถล่มรัฐบาลในทำนองว่าแก้ปัญหาไม่เป็น ไม่สามารถชี้ให้เกิดความเข้าใจได้ อะไรประมาณนี้ แต่กลายเป็นว่า “กระแสตีกลับ” เพราะทุกคนมีแต่รุมสหบาทา สวดบรรดาประเทศตะวันตกพวกนั้นที่หลับหูหลับตารับฟังข้อมูลเพียงด้านเดียวในแบบมีอคติ
เพราะหากไม่อคติแล้ว ในประเด็นเรื่องการทารุณกรรมสัตว์มันย่อมมีขึ้นในทั่วโลก เพียงแต่ว่าจะหยิบเอาเรื่องไหนมากล่าวถึง เช่น เทศกาลการสู้วัวกระทิง การใช้ลิงมาเป็นสัตว์ทดลอง ใช้หนู ใช้กระต่าย รวมไปถึงการนำหมูไปหาเห็ดทรัฟเฟิล หรือบางคนที่ตอบโต้ไปว่าอย่าเลือกปฏิบัติกับกรณีของผลิตภัณฑ์อาหารบางอย่างในยุโรป ทั้งผลิตภัณฑ์จากนมทีมีการทารุณแม่วัวจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการถูกเชือด และการผลิตฟัวกราส์ ที่ทำจากเป็ดหรือห่านที่ถูกยัดอาหารผ่านทางท่อ เพื่อให้มันกินอาหารได้มากๆ เพื่อให้ตับโตและถูกเชือดเอาตับไปทำฟัวกราส์ในหลายประเทศในยุโรป ที่ถือว่าทารุณสัตว์ยิ่งกว่า
แน่นอนว่า เรื่องดังกล่าวคงต้องมีการพูดถึงกันอีกหลายวัน เพราะเริ่มกลายเป็นประเด็นร้อนแรง กลายเป็นกระแสชาตินิยมที่เริ่มมีการเรียกร้องให้ตอบโต้แบนสินค้าจากประทศเหล่านั้นเหมือนกัน เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติ มีอคติอย่างไม่เป็นธรรมกับประเทศไทย
ขณะเดียวกัน กลายเป็นว่ากรณีนี้ยังมีคนไทยบางคนยังไปสนับสนุนเห็นดีเห็นงามกับท่าทีของฝรั่งเหล่านั้นเสียอีก และที่น่าเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดไปกว่านั้นก็คือ เขาเป็น ส.ส.จากพรรคก้าวไกล เสียอีก มันถึงได้บอกว่า “ไปไกล” สุดกู่จริงๆ !!