“บุญเกื้อ” ทำเอา “ช่อ” กรี๊ดแตก! ขู่ฟ้องทันที ถ้าไม่ลบโพสต์แฉเงินบริจาค 7.2 ล.ช่วยโควิด 19 หลอกลวงประชาชน “ดร.นิว” ย้อนเกล็ด ที ม.112 อยากได้เสรีภาพ เจอ “บุญเกื้อ” ปกป้องสิทธิตัวเอง รองโฆษก พปชร.ใส่ไม่เลี้ยง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 มิ.ย. 63) เฟซบุ๊ก บุญเกื้อ ปุสสเทโว ของ ว่าที่ร้อยตรี บุญเกื้อ ปุสสเทโว อดีตผู้ช่วย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข่าวการเมืองทั่วไป ของ Thailand Vision
โดยมีเนื้อข่าวว่า “กลายเป็นประเด็นเดือดในโลกโซเชียล ที่หลายคนปูเสื่อรอติดตามศึกครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ ระหว่าง ช่อ พรรณิการ์ วานิช หนึ่งในแกนนำคณะก้าวหน้า และ นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว อดีตผู้ช่วย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้ ได้ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเปิดประเด็นเกี่ยวกับ กรณีที่คณะก้าวหน้าเปิดรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากโควิด-19 ในโครงการ เมย์เดย์เมย์เดย์
โดยนายบุญเกื้อ ระบุว่า ตอนนั้นได้ข่าวว่า ทางคณะก้าวหน้าได้ยอดเงินบริจาครวมกว่า 7.2 ล้านบาท โดยแจ้งกับสื่อมวลชนว่า จะบริจาคให้ประชาชนทั่วไปจำนวน 2,427 คน คนละ 3,000 บาท ซึ่งนายบุญเกื้อได้ออกมาแฉในภายหลังว่า ได้ไปตามหาในทะเบียนราษฎรแล้วพบว่า แต่ละรายชื่อไม่มีตัวตนอยู่จริง บางคนแต่งชื่อเอาบ้าง บางคนมีรายชื่อเดียวกันซ้ำกันเป็นชุดๆ
เดือดร้อนถึง นส.พรรณิการ์ วานิช ต้องออกมาทวีตข้อความตอบกลับกรณีนี้ ว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยระบุว่า “อย่ามั่ว คณะก้าวหน้าเราโปร่งใสตรวจสอบได้ รายชื่อที่ลงไว้ก็เป็นชื่อบัญชีผู้รับโอนจริง หากคุณมีหลักฐานว่า ตรวจสอบรายชื่อทะเบียนราษฎรแล้วไม่พบ หรือซ้ำซ้อนกัน หรือมีหลักฐานว่า เราอมเงิน ก็เอามาแสดงด้วย และถ้าหากไม่ขอโทษ – ลบโพสต์นี้ภายใน 24 ชั่วโมง เจอกันที่ศาลค่ะ”
ล่าสุด นายบุญเกื้อ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตอบกลับทันควัน โดยระบุว่า ขออนุญาตตอบรวมๆ ยืนยันว่า “ผมจะไม่ลบโพสต์ มหกรรมตามล่าเงินบริจาค 7.2 ล้านบาท ออกแน่นอน จนกว่าจะจับคนที่อมเงินบริจาค มาล้วงคอเอาเงินออกมาโอนให้ราษฎร รายละ 3,000 บาท จนครบถ้วน” พร้อมอัปสเตตัสในเวลาต่อมาว่า “นักการเมืองรุ่นใหม่ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้สิครับ”
-------------------------------
แหล่งข่าว
https://www.facebook.com/profile.php?id=100014671957628
https://twitter.com/Pannika_FWP
https://www.thaipost.net/main/detail/70069
https://www.naewna.com/politic/502202
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเปรียบเทียบว่า
“มาตรา 112
เป็นกฎหมายละเมิดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
ถ้าเป็น “บุญเกื้อ” ไม่ลบโพสต์ หรือ ขอโทษภายใน 24 ชม. เจอกันที่ศาล”
พร้อม #ช่อผู้หมิ่นคนอื่นได้ฝ่ายเดียว
#ประชาธิปไตยจอมปลอม
รวมทั้งแชร์โพสต์เฟซบุ๊ก The METTAD ที่ระบุว่า “ทีงี้ไม่ใช่เสรีภาพแล้วนะ
#เสรีภาพของเราไม่เท่ากัน”
ด้าน น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า น.ส.พรรณิการ์ เหยียบย่ำหลักการของตนเองที่มักกล่าวอ้างสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกความเห็นจนถึงขั้นเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายที่มีไว้เพื่อคุ้มครองผู้ที่ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท และตกเป็นเหยื่อจากการแสดงความคิดเห็นที่เกินขอบเขตของกฎหมาย
“แต่เมื่อถูกตรวจสอบย้อนกลับบ้าง น.ส.พรรณิการ์ มีท่าทีเหมือนกลืนน้ำลายตนเอง ย้อนแย้ง ซึ่งเป็นท่าทีที่พบเห็นได้หลายครั้ง เช่น การใช้เอกสิทธิ์ ส.ส. จากรัฐธรรมนูญที่ตนเองประณามด้วยคำหยาบ และต้องการยกเลิกแก้ไขมาใช้คุ้มครองตนเองในคดีความ และคราวนี้ก็มีพฤติกรรมซ้ำเดิม เหมือนจะพยายามใช้กฎหมายที่ตนเองต้องการยกเลิกมาคุ้มครองประโยชน์ตนเอง เข้าตำรา เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”
น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า ทุกการตรวจสอบต้องเท่าเทียม เสรีภาพ ในการแสดงความเห็นก็ต้องเท่าเทียม น.ส.พรรณิการ์ และคณะก้าวหน้า ก็ไม่ควรจะมีอภิสิทธิ์พิเศษที่จะเรียกร้องความเท่าเทียมจากผู้อื่นในขณะที่ตนเองกำลังพยายามมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น ตอนนี้ก็คงเข้าใจคำว่าเสรีภาพในการแสดงความเห็นและขอบเขตในการใช้เสรีภาพนั้นชัดเจนแล้ว
ดังนั้น ต่อไปนี้ก็หวังว่าจะไม่พบเห็นการกระทำที่อ้างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เกินขอบเขตและทำให้ผู้อื่นเสียหายจาก น.ส.พรรณิการ์และพวกอีก
ทั้งนี้ การขู่ฟ้องประชาชนที่เขามีสิทธิ มีเสรีภาพ และต้องการตรวจสอบความโปร่งใส เนื่องจากเป็นการแจกเงินจากการรับบริจาคกิจกรรมเมย์เดย์ฯนั้น ก็น่าจะขัดกับหลักการที่ น.ส.พรรณิการ์ มักกล่าวอ้าง และคงจะไม่ได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายจากนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า อย่างแน่นอน เพราะ นายปิยบุตร ได้กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้กฎหมายฟ้องปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์เพื่อตรวจสอบ หรือ SLAPP Law โดยนายปิยบุตรไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทใคร เพราะเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยต้องถูกตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้และสังคมจะเป็นคนตัดสินเอง
น.ส.ทิพานัน เห็นว่า ดังนั้น เพื่อให้สังคมได้ตัดสินอย่างถูกต้อง แทนที่จะเรียกร้องหลักฐานจากผู้กล่าวหาและขู่ฟ้องประชาชน น.ส.พรรณิการ์ และคณะก้าวหน้าควรแสดงความบริสุทธิ์ใจและโปร่งใส ด้วยการนำพยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือแสดงชี้แจง เพื่อหักล้างข้อสงสัยของสังคมที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
1. การเรี่ยไรรับบริจาคกิจกรรมเมย์เดย์ฯ ได้ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายและมีการออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคครบถ้วนหรือไม่
2. เมื่อการรับบริจาคถูกระบุให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของ น.ส.พรรณิการ์ ดังนั้น ต้องมีหลักฐานว่ารายการที่โอนเข้ามาจากต้นทางเป็นเงินบริจาค หรือเงินส่วนตัว และต้องสามารถชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานทางบัญชี หรือสเตทเมนต์ แสดงบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้ได้ด้วยว่ามีจำนวนครบถ้วนถูกต้องตามยอด 7,282,897.34 บาทจริง ไม่มากกว่านี้และไม่น้อยไปกว่านี้
3. สามารถพิสูจน์การมีอยู่จริงของผู้รับเงิน 3,000 บาท ตามรายชื่อที่คณะก้าวหน้าเผยแพร่ทางเว็บไซต์ได้ รวมถึงมีหลักฐานการโอนเงินให้บุคคลตามรายชื่ออย่างครบถ้วน และต้องแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับโอนเงินไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทีมงานคณะก้าวหน้า ไม่มีการทุจริตเอื้อประโยชน์กันเองแก่พวกพ้อง เพราะจากการตรวจสอบรายชื่อผู้รับเงิน เบื้องต้นพบว่า มีบุคคลใช้นามสกุล “วานิช” ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับ น.ส.พรรณิการ์ ปรากฏอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ขอให้ชี้แจงด้วยว่า การเปิดเผยรายชื่อผู้รับเงินทางเว็บไซต์ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของชื่อหรือไม่ เพราะอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ได้
“ส่วนตัวมองว่า หาก น.ส.พรรณิการ์ ฟ้องคดีเอาผิดประชาชนที่ใช้สิทธิอย่างสุจริตในการตรวจสอบความโปร่งใสนั้น มีแนวโน้มที่จะแพ้คดีสูงมาก เพราะบุคคลดังกล่าวไม่เพียงแต่ใช้สิทธิในฐานะประชาชนทั่วไป แต่ยังเป็นผู้มีส่วนได้เสียหากมีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะทราบมาว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบริจาคเงินในกิจกรรมดังกล่าวด้วย”
รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวด้วยว่า สังคมยังมีสิทธิ์สงสัย และมีสิทธิ์ตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใสได้ เพราะที่ผ่านมามีการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และในปัจจุบันก็ไม่ปรากฏว่า น.ส.พรรณิการ์ ประกอบสัมมาอาชีพใดที่มีแหล่งรายได้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่าย จากข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. เมื่อพ้นตำแหน่ง ส.ส. พบว่า มีภาระหนี้สินอยู่จำนวน 559,091 บาท และภาระรายจ่ายประจำจำนวน 924,000 บาท (แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 600,000 บาท และค่าอุปการะบิดามารดา 324,000 บาท) นอกจากนี้ บัญชีธนาคารที่รับระดมทุนบริจาคก็ไม่ปรากฏในรายการบัญชีเงินฝากที่ได้แจ้งไว้ต่อ ป.ป.ช.
“ดังนั้น จึงอาจมีประเด็นการตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มี “การปกปิดข้อมูล” ของบัญชีดังกล่าวหรือไม่ เข้าข่ายยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงหรือไม่ด้วย”
ดูเหมือนคดีทำท่าจะพลิกเสียแล้ว แทนที่ “ช่อ” จะได้ไปเจอกับ “บุญเกื้อ” ที่ศาล ในฐานะโจทก์ อาจต้องเจอโจทก์ ที่ทำให้ “ช่อ” เป็นจำเลยในเรื่องนี้ได้เช่นกัน ทั้งหากไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ ก็ถือว่าเรื่องใหญ่แน่นอน
แต่ที่แน่ๆ การออกมา ตีโพยตีพาย ให้ขอโทษ ให้ลบโพสต์ใน 24 ชั่วโมง และขู่จะฟ้องนั้น ไม่รู้ “ช่อ” คิดดีหรือยัง หรือ ปรึกษา “ปิยบุตร” แล้วหรือไม่ เพราะแกนนำคณะก้าวหน้า เพิ่งจะลอยหน้าลอยตา พูดเอาดีใส่ตัว ว่าใจกว้างเป็นแม่น้ำ จะไม่ฟ้องใคร เกี่ยวกับการแสดงความเห็นต่าง เพื่อเอาชั่วใส่คนอื่นไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ยิ่งเป็นเรื่องตรวจสอบความโปร่งใส ยิ่งไม่สมควรเสียอาการออกมาให้เห็น เพราะยิ่งออกอาการมากเท่าไหร่ สิ่งที่โกหกหลอกลวงเอาไว้ ก็จะยิ่งสำแดงออกมาทางกิริยาอาการ ซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานเท่านั้น จึงจะทำให้บริสุทธิ์ได้
#ได้เวลาเอาหลักฐานมากางต่อหน้าประชาชน!