“รสนา โตสิตระกูล” อดีต ส.ว.ผู้ใกล้ชิด “พระไพศาล” เผยเส้นทางชีวิตอุทิศสังคมทุกชนชั้น ความเป็น “พระนักสันติวิธี” ในสังคมแบ่งขั้ว จึงถูกพวกสุดโต่งเล่นงาน “ดร.สุวินัย” จวกเละ “คำผกา” ระราน-ป้ายสี คนเห็นต่าง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (11 พ.ค. 63) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีพระไพศาล สอนธรรมะให้แง่คิดจากวิกฤตโควิด-19 ในหัวข้อ “โควิด คือ ของขวัญ” แต่กลับถูกนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่าง พระมหาไพรวัลย์ ที่เป็นขวัญใจคนเสื้อแดง ถึงขั้นยกให้เห็น “สังฆราษฎร์” หรือพระที่ประชาชนแต่งตั้ง มาแล้ว และ ลักขณา ปันวิชัย หรือ “คำผกา” พิธีกรปากกล้าช่องวอยซ์ทีวี โจมตีว่า สอนธรรมะเอื้อประโยชน์ชนชั้นกลาง ไม่เห็นหัวอกคนไม่มีจะกิน
บางตอนที่สำคัญระบุว่า “การทำกิจและการทำจิตของพระไพศาล วิสาโล ดิฉันรู้จักกับพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ เป็นเวลากว่า 40 ปี มาแล้ว ท่านเป็นนักเรียนทุน สอบเข้าได้เป็นที่หนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือ ท่านเป็นคนลึกซึ้งมาก สนใจปัญหาสังคม การเมือง และการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยสันติวิธีมาตั้งแต่สมัยนั้น
ระหว่างเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ท่านยังเป็น นศ.ปี 2 ทำกิจกรรมชมรมพุทธศาสตร์และประเพณี และได้เข้าร่วมการประท้วงรัฐบาลตามวิถีสันติแบบมหาตมะคานธี ด้วยการอดอาหาร ท่านจึงถูกทุบตีและถูกจับกุมคุมขังเหมือนเพื่อน นศ.อื่นๆ ที่ปักหลักอยู่ในรั้วธรรมศาสตร์
แต่เนื่องจากมิใช่แกนนำสำคัญ ท่านจึงได้รับการปล่อยตัวออกมา และร่วมกับผู้นำศาสนาต่างๆ ก่อตั้งกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม ทำงานประสานรอยร้าวทางสังคมด้วยสันติธรรมและสันติวิธี งานหลักของท่านตอนนั้น ก็คือ การประสานความร่วมมือกับองค์การนิรโทษกรรมสากลในอังกฤษ โดยได้รับความช่วยเหลืออย่างดีกับเพื่อนชาวอังกฤษที่ทำงานอยู่ในองค์การยูเนสโก
กล่าวได้ว่า พระอาจารย์ไพศาล เริ่มบทบาทเป็นนักเคลื่อนไหวสันติวิธีระดับระหว่างประเทศตั้งแต่ยังเป็น นศ.ปี 3 และทำงานด้านนี้ต่อมาอย่างแข็งขันหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ในท่ามกลางการปิดกั้นสิทธิ เสรีภาพแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในยุคมืดสนิทเวลานั้น
ท่านเป็นผู้เคลื่อนไหวหลักในการยื่นจดหมายเรียกร้องขอให้รัฐบาลเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อปี 2521 ปล่อยนักโทษการเมือง ซึ่งนักโทษการเมืองยุค 6 ตุลาฯ 2519 ได้แก่ สุธรรม แสงประทุม ธงชัย วินิจจกุล วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ อภินันท์ บัวหภักดี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การทำงานด้านมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และสันติวิธี บ้างครั้งก็ทำให้นักกิจกรรมทางสังคมอย่างท่าน เกิดความทุกข์ใจ ท้อใจ หรือถึงกับมีโทสจริตเกิดความขัดแย้งในการทำงาน
ความที่ท่านเป็นคนลึกซึ้ง ท่านจึงได้มาบวชเพื่อพัฒนาคุณภาพด้านใน จากความตั้งใจบวชเพียง 3 เดือน ในปี 2526 กลายเป็นการบวชยาวนานกว่าชีวิตฆราวาสของท่าน การบวชของท่านไม่ใช่การหนีปัญหา แต่คือการเผชิญปัญหาด้วยคุณภาพของจิตใจที่มีกำลังในการรับมือกับความทุกข์ภายใน ดังที่ท่านมักพูดเสมอว่า การ “ทำกิจ” เพื่อสังคม ต้องประกอบกับการ “ทำจิต” ด้วยความปล่อยวางทั้งความโกรธ ความเกลียด ความคับแค้นใจ ที่สังคมไม่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างที่เราปรารถนาง่ายๆ
นักสันติวิธีในสังคมแห่งการแบ่งขั้ว มักจะถูกเล่นงานจากฝ่ายสุดโต่ง (Extremist) ที่มองผู้คนเป็นฝักฝ่ายว่า ไม่มีจุดยืน ทั้งที่ท่านไพศาลมีจุดยืนอย่างชัดเจนตามหลักโอวาทปาติโมกข์ ว่า ต้องไม่พูดร้าย ต้องไม่ทำร้าย มีขันติธรรมใจกว้างรับฟังความเห็นที่แตกต่างอย่างลึกซึ้ง
คนที่นำประเด็นโควิดมาโจมตีท่านว่า เอียงข้างชนชั้นกลาง คงอาจไม่ทราบว่า ท่านเองก็เคยถูกโจมตีว่า เอียงข้างโรฮีนจา ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เป็นชนกลุ่มที่ยากจนที่สุดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มชนชายขอบของโลกที่ถูกเหยียบย่ำความเป็นมนุษย์มากที่สุด จนไม่มีที่ยืนอยู่ในโลกใบนี้ บุคคลที่ยืนหยัดอยู่ข้างเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้ที่สุด ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างความเชื่อ เช่นนี้น่ะหรือ จะเทศนาเพื่อการแบ่งแยกทางชนชั้น?
พระไพศาลเทศน์เรื่อง “โควิดเป็นของขวัญ” กับญาติโยมในวัดนั้น เป็นภาษาธรรมที่แสดงแก่ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งที่กำลังมีปัญหาทางจิตใจเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด ว่าการไปไหนไม่ได้ ก็ทำให้มีเวลาเป็นของขวัญ เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากเวลา และทำใจรับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาด้วยใจที่ยอมรับ คือ “การทำจิต” กับสถานการณ์ทุกอย่างที่มากระทบ ไม่ว่าพอใจ หรือไม่พอใจ
แต่ไม่ใช่เอาข้อความประโยคเดียว เรื่องเดียวที่พูดในมุมเฉพาะไปโจมตีท่านว่า พูดให้คนรวย คนชั้นกลางที่ไม่เดือดร้อนจากปัจจัยยังชีพฟัง โดยไม่เห็นความลำบาก ทุกข์ยากของคนจนที่ไม่มีปัจจัยเลี้ยงชีพและตกงานเพราะโรคโควิด...
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (10 พ.ค. 63) เพจเฟซบุ๊ก “สถาบันทิศทางไทย-Thai Move Institute” เผยแพร่บทความเรียบเรียงโดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กรณีเดียวกันนี้
โดยเนื้อหาระบุว่า “ไม่ใช่ว่า คำผกาไม่รู้บริบทคำพูดของพระไพศาลหรอก เพราะมันไม่ได้ยากเกินกว่าที่จะรู้ แต่แค่อยากหาเรื่องด่า แล้วก็เอาไปขยายความให้คนอื่นมาด่าต่อ
เมื่อปี 53 ก็ใส่ร้ายพระไพศาลอย่างเลวร้ายและหยาบคาย แล้วสาวกและสื่อในเครือก็เอาไปปั่นกันสนุกสนาน มันไม่ใช่ว่าห้ามวิจารณ์พระ หรือพระไพศาล ต้องถูกทุกเรื่อง โต้แย้งไม่ได้ คนดีห้ามวิจารณ์ แต่สิ่งที่คำผกาทำกับพระไพศาลตั้งแต่ปี 53 มันไม่ใช่การวิจารณ์ ไม่ใช่กระทั่งการด่าทอ แต่คือการจงใจใส่ร้ายแบบเติมแต่งขึ้นมาเอง ตีขลุมเอาเอง มโนขึ้นมาเอง ให้เป็นไปตามธงที่ตัวเองตั้งไว้
แถมยังเอามาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า ปี 53 ก็ด่าพระไพศาลมาแล้ว ราวกับว่าแค่ด่าก็ชนะแล้ว ฉันแน่มาก โดยไม่ต้องสนใจว่าสิ่งที่ตัวเองด่า (ป้ายสี) คนอื่นจะเป็นความจริงหรือเปล่า เป็นธรรมกับเขาไหม พยายามให้พระไพศาลเป็นคนจิตใจอำมหิต เลือดเย็น ไม่เห็นใจความทุกข์ยากของคน เป็นพระสลิ่ม
พระไพศาลเป็นพระที่พูดเรื่องความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างมากที่สุดในประเทศนี้แล้ว แถมขับเคลื่อนภาคสังคมอีกไม่รู้กี่เรื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ “ปัญญาชน” กลุ่มนี้ก็ยังหาเรื่องด่า (ใส่ร้าย) ไม่เว้นแต่ละวัน
แล้วสาวกก็เฮโลเชื่อตามและสื่อในเครือก็เอาไปขยายความต่อ (ตามสูตร) ที่เหลือเชื่ออีกเรื่องคือ เอาไปปั่นหูกันว่า พระไพศาลบอกว่า คนเสื้อแดงต้องรับกรรมที่โดนปราบปี 53 เพราะว่าคนเสื้อแดงไปสนับสนุนทักษิณให้ฆ่าตัดตอน... คือป้ายสีได้ชั่วร้ายจริงๆ....
จากมิตรสหายท่านหนึ่ง...เท่าที่ติดตามฟังเทศน์พระอาจารย์ไพศาลมาหลายปี ท่านมีธีมหลักๆ อยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องแรกคือ “หาข้อดีในเรื่องร้าย” นั่นคือการปลูกทัศนคติ ให้มองเป็น ให้เห็นธรรม บนฐานความจริง โดยไม่เอาทุกข์ไปโถมให้ขาดสติจนแก้ไขปัญหาไม่ได้
อีกแก่นหนึ่งคือ “ยอมรับความจริง” ท่านพูดถึงจุดนี้ก่อนที่จะให้เราก้าวไปสู่ทางไหนเพื่อดับทุกข์ คือเห็นทุกข์และยอมรับ ไม่ได้หมายถึงการเบลอใจให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงเลย
ธรรมะของท่านช่วยกอบกู้ใจคนมากมาย กิจกรรมที่ท่านทำก็ล้วนแต่ทำเพื่อคนทุกระดับทั้งสิ้น ตั้งแต่การเผชิญความตายอย่างสงบ การปลูกป่า การทำความเข้าใจในทุกกลุ่มชน
ธรรมะของท่าน ที่สอนถึงคำสอนของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณฺโณ อยู่เสมอ คือ “ไม่เอาอะไร กับอะไร”
เมื่อเข้าใจธรรมะแล้วไม่สะท้านกับสิ่งที่มาสะเทือนตามที่ท่านสอน คำสอนท่านคงเข้าไปอยู่ในใจเราได้จริง แม้จะยากเต็มทีในวันนี้
ทั้งนี้ เนื้อใหญ่ใจความในรายการ Talking Thailand เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 63 ที่ “คำผกา” แสดงออก คือ ผิดหวัง! เมื่อได้ฟัง “พระไพศาล” เทศน์สอน “โควิด คือ ของขวัญ” มองในแง่ดีได้อยู่กับครอบครัว และยิ่งโกรธ เพราะ “พระไพศาล” ก็ผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ที่รู้ว่า ต้นตอความไม่เป็นธรรม ทำให้ “คนจน” ไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่เพราะโครงสร้างการเมือง-เศรษฐกิจบิดเบี้ยว
ขณะที่ “พระมหาไพรวัลย์” ก็โพสต์เฟซบุ๊ก สรุปว่า โควิดเป็นของขวัญคนรวย แต่คือยาพิษของคนจน
ยิ่งกว่านั้น เฟซบุ๊ก Lakkana Punwichai วันที่ 9 พ.ค. 63 ของ คำผกา ยังโพสต์อีกว่า
“มิตรสหายท่านหนึ่งบอกว่า รำคาญพวกลิเบอรัล ทำไมไม่เอาเวลาไปด่าสลิ่ม แบบ นก สินจัย แบบ โจ นูโว มาด่า ‘แนวร่วม’ ของฝั่ง ปชต. แบบ พระไพศาล ทำไม
ดิฉันถึงกับต้องแคะขี้หู
ไปควานหาบทความที่เคยวิจารณ์พระไพศาล ตั้งแต่ปี 2553 มา
ปีนั้นท่านบอกว่า อภิสิทธิ์มีความชอบธรรมอยู่หลังเหตุการณ์ล้อมปราบประชาชนกลางเมือง
ง่ายๆ นะคะ ไม่เคยเห็นท่านเป็นแนวร่วมมาแค่ไหนแต่ไร แค่เห็นในทางตรงกันข้ามมาตลอด
กรณีโควิดคือของขวัญนี่จิ๊บๆ ค่ะ
แขกจัด พระไพศาลกับชัยวัฒน์ สถาฯ ไว้กลุ่มเดียวกัน
เป็นสลิ่มคนละชั้นกับ โจ หรือ นก
เพราะคนเหล่านี้ โดยมาก นิสัยดี มีเสน่ห์ และมีเมตตา
มันเลยดูออกยาก
(พร้อมลงบทความปี 53 ประกอบ)
แน่นอน, “รสนา” พยายามที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด รวมทั้งตัวตนจุดยืนที่แท้จริงของพระอาจารย์ไพศาล ให้สังคมได้รับรู้ ว่าไม่ได้เป็นตามที่ถูกกล่าวหา ความจริงเนื้อหาในเฟซบุ๊กมีมากกว่าที่หยิบยกมาด้วยซ้ำ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ จึงยกเอามาพอให้ได้เข้าใจ ซึ่งก็ชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
ส่วนบทความของ ดร.สุวินัย ก็สะท้อนให้เห็นตัวตนของ “คำผกา” ในมุมที่แสดงออกทางการเมือง และที่ชัดเจนก็คือ จุดยืนอันสุดโต่ง ในการเป็น “ติ่ง” ทางการเมือง ในสังคมแบ่งขั้วนั่นเอง และก็คงไม่มีอะไรจะปิดบังอีกแล้ว เพราะเจ้าตัวเคยเรียกตัวเองเอาไว้ว่า เป็น “ควายแดง ติ่งเพื่อไทย” เมื่อครั้ง ปะทะเดือดกับ “จอมขวัญ”
“ด่าได้ แหกได้ เป็นควายแดงติ่งเพื่อไทย เปิดเผยมาตลอด เลือกผิดดีกว่าไม่เคยเลือก...” ช่วงฝ่ายค้านขัดแย้งกันเอง กรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรัฐบาล “ลุงตู่”
ถ้าจำไม่ได้ ก็ลองไปย้อนดู