“วัฒนา” จะเป็นลม “สมคิด” ลอก “โอทอป” อ้าง “ทักษิณ” ฝากบอกไม่สำเร็จ เพราะไม่เข้าใจ “อัษฎางค์” เขียน “2 จอมทัพ กับ 1 กุนซือ กับประชานิยมและประชาไม่นิยม” ยกมันสมอง “สมคิด” คือ ความสำเร็จ “ทักษิณ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 เม.ย. 63) เฟซบุ๊ก Watana Muangsook ของ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความระบุว่า
“ผมแทบเป็นลม เมื่อได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ถึงแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการปลดล็อกดาวน์ โดยจะพัฒนาสินค้าโอทอป ซึ่งจะเป็นทางรอดของชาติ เพราะนั่นเป็นความคิดของพวกผมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่คนในสมัยนั้นชอบสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ (Unique) และทำด้วยมือแต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว
แผนงานการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ควรแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน คือ (1) ดูแลธุรกิจที่มีอนาคต เช่น ภาคเกษตรที่จะเกี่ยวข้องกับอาหารปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ (Health & Hygienity) ซึ่งจะเป็นอนาคต รวมถึงอุตสาหกรรมบริการที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน เพื่อไม่ให้เกิดการเลิกจ้าง การพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้
(2) สนับสนุนให้มีการลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ที่ปลอดเชื้อ และการนำบุคลากรมาเสริมสร้างสมรรถนะ (Capacity Building) เพื่อรองรับการให้บริการที่สะอาดและปลอดภัยให้กับลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ และ (3) ลงทุนเพื่ออนาคตรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกหลังโควิด-19
โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงโลกโดยสิ้นเชิงแล้ว จากนี้มนุษย์จะให้ความใส่ใจกับสุขภาพและสุขอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัส (low touch) เพราะมนุษย์กลัวไวรัสจนทำให้ทั้งโลกต้องหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงต้องคิดให้ออกว่าประเทศไทยมีอะไรบ้างที่สามารถนำมาพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกภายหลังโควิด-19 แล้วฟื้นฟูเศรษฐกิจไปทางนั้น อันเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต
เจ้านายผมฝากบอกว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคซึ่งเป็นหัวใจของการค้าจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในต่างประเทศ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ล่าสุด คณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้เปิดสอนวิชาใหม่ชื่อว่า Behavior Economy ดังนั้น การลอกนโยบายของรัฐบาลท่านมาใช้ จึงต้องพัฒนาและเข้าใจวิธีคิด เพราะแม้แต่ไวรัสยังมีการพัฒนาจนมนุษย์เอาชนะยากขึ้น มนุษย์ก็ต้องพัฒนาและคิดตามให้ทัน ไม่เช่นนั้นจะแพ้ไวรัส แถมเสียเงินเปล่าแบบที่เอานโยบายของไทยรักไทยมาทำโดยไม่เข้าใจ
วันนี้เช่นกัน บังเอิญเฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ของ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับ ทักษิณ ชินวัตร, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หัวเรื่อง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทย” เมื่อสกายวอล์กเกอร์เข้าสู่ดาร์กไซด์
โดยระบุว่า “2 จอมทัพ กับ 1 กุนซือ
กับประชานิยมและประชาไม่นิยม
ที่คุณ...อาจไม่เคยรู้
จุดเริ่มต้นของไทยรักไทย มาจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ ที่มีความสนใจการเมืองมาโดยตลอด แต่คุณหญิงอ้อ ไม่เคยเห็นด้วยและคัดค้านมาโดยตลอดเช่นกัน
แต่สุดท้ายทักษิณก็ดื้อลงเล่นการเมือง โดยเข้าพรรคพลังธรรมจนได้
พอพลังธรรมยุบ คุณหญิงอ้อ ยิ่งคัดค้านหนักกว่าเก่า
แต่คนที่เป็นสะพานให้ ก็คือ พานทองแท้ ที่เข้าไปคุยกับแม่ว่า พ่อประสบความสำเร็จในธุรกิจจนไม่มีอะไรทำ ต้องปล่อยให้พ่อได้แก้มือ เพราะพ่อเป็นคนไม่เคยอยู่นิ่ง
ก่อนจะก้าวเข้าสู่การเมือง ทักษิณมีก๊วนเพื่อน ที่เที่ยวเล่น และสนทนาทั้งธุรกิจและการเมืองด้วยกันหลายคน
เช่น สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำเสื้อเหลืองในเวลาต่อมา พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาลน้าชาติ เฉลิม อยู่บำรุง ภูมิธรรม เวชยชัย และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นต้น
เรื่องจริงที่เป็นสัจธรรมของโลกอย่างหนึ่ง ก็คือ เวลาที่เราเป็นคนธรรมดา เพื่อนที่ใกล้ชิดที่อยู่เคียงข้างให้คำปรึกษาจะเป็นคนกลุ่มหนึ่ง
แต่พอเราเติบโตมีชื่อเสียง มีอำนาจ จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เบียดเสียดคนใกล้ชิดเก่าๆ ออกไป แล้วกลายเป็นคนใกล้ชิดแทน
เพื่อนเก่าและใหม่นี้ มีความมุ่งหวังที่ต่างกัน ฝ่ายหนึ่งจริงใจ ฝ่ายหนึ่งมองที่ผลประโยชน์
สุภาษิตโบราณที่ว่า คบคนพาล คนพาลพาไปหาผิด ยังคงขลังอยู่เสมอ.........
ปี 2549 ช่วงสนธินำกลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนไหว จนเข้าใกล้รัฐประหาร มีอยู่วันหนึ่ง มีกลุ่ม รมต.ในรัฐบาลทักษิณ นัดไปกินข้าวกันในร้านอาหารอิตาเลียนในซอยต้นสน
หนึ่งในนั้นคือ ดร.สมคิด
แล้วหลังจากนั้น ก็มีเสียงกระซิบไปเข้าหูทักษิณ จนเป็นเหตุให้ทักษิณเริ่มไม่ไว้ใจ ดร.สมคิด
ดร.สมคิด เป็นมันสมองด้านเศรษฐกิจให้กับทักษิณ ตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งพรรคไทยรักไทย นโยบายเศรษฐกิจของไทยรักไทยมาจาก ดร.สมคิด เป็นส่วนใหญ่
แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเพื่อนเก่าโดนเบียดออกไป แล้วแทนที่ด้วยเพื่อนใหม่ ที่เข้ามาด้วยผลประโยชน์ของอำนาจทางการเมือง เรื่องดรามามากมายก็เริ่มเกิดขึ้น จนนำไปสู่ความหวาดระแวง
หลังปฏิวัติรัฐประหาร รัฐบาลทหารตั้งหม่อมอุ๋ย เป็นรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน ก็ตั้ง ดร.สมคิด เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ทำให้ หม่อมอุ๋ย หวาดระแวง
หลังจากมีการเลือกตั้งในปี 50 มีการตั้งพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ที่มี ดร.สมคิด เป็นหนึ่งในแกนนำ แต่เกิดความไม่ลงรอยกัน จนทำให้พรรคไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง แล้วหลังจากนั้น ดร.สมคิด ก็หายไปจากการเมือง.........
เขาหายไปตั้งมูลนิธิสัมมาชีพ โดยมีหนึ่งในกรรมการของมูลนิธินี้ ชื่อ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ซึ่งปัจจุบันคือ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
จนวันหนึ่งหม่อมอุ๋ยโดนปรับออกจากคณะรัฐมนตรี ดร.สมคิด ก็ถูกชวนให้กลับสู่การเมือง ในตำแหน่งรองนายกฯอีกครั้ง
ถ้าพวกเราสังเกตดูดีๆ คงเคยรู้สึกว่า ทำไมนโยบายเศรษฐกิจของ รัฐบาล คสช. จึงมีนโยบายประชานิยมที่คล้ายกับของไทยรักไทยมากเหลือเกิน
อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะนึกอะไรออกมั้ย ว่า เจ้าของไอเดีย นโยบายประชานิยม มีใครเป็นแกน......
ถ้านึกไม่ออก จะบอกให้
ดร.สมคิด เป็นนักยุทธศาสตร์
เป็นปรมาจารย์ทางการตลาด ที่เคยเรียนวิชาการตลาดมาจากปรมาจารย์ทางการตลาดระดับโลกที่อเมริกามาก่อน
ฉายา ตาดูดาว เท้าติดดิน ที่คนเข้าใจมาโดยตลอดว่าคือทักษิณนั้น จริงๆ คนที่ตาดูดาว เท้าติดดินก็คือ ดร.สมคิด
เขาคือกำลังสำคัญที่คิดนโยบายประชานิยมอันเลื่องชื่อ ที่ทำให้ไทยรักไทย ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนซื้อใจประชาชนเกือบทั้งประเทศเอาไว้ได้ และทำให้ทักษิณ เป็นที่ชื่นชมว่า มีความสามารถในการสร้างเศรษฐกิจที่มั่งคั่งให้กับชาติและประชาชน จนถึงปัจจุบัน
แต่ทำไม เมื่อเจ้าตำรับประชานิยมมาอยู่กับลุงตู่แล้ว กลับไม่ฟู่ฟ่าเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่กับทักษิณ
ให้เวลาคิด หนึ่งนาที........
ดร.สมคิด คือ ยอดกุนซือทางด้านเศรษฐกิจ เขาเรียนมาทั้งวิชาเศรษฐศาสตร์และการตลาด มีฝีมือจัดจ้าน ทั้งการเงินการคลังและการตลาด ที่หาตัวจับยากในเมืองไทย
แต่กุนซือก็เป็นเพียงนักคิด
ส่วนคนที่ตัดสินใจ คือ จอมทัพ
จอมทัพที่ชื่อทักษิณนั้น เก่งกาจทั้งการค้าและการเมือง จะหาใครในประเทศไทยที่เก่งทั้งการค้าและการเมืองอย่างทักษิณไม่ได้ง่ายๆ แทบหาไม่เจอ หรือยังหาไม่เจอด้วยซ้ำ
โครงการเศรษฐกิจการเมืองระดับปรมาจารย์ของ ดร.สมคิด เมื่อเสนอไปที่ทักษิณนั้น เขาจะมองทะลุทันที ว่าอันไหนจะทำหรือไม่ทำ และจะทำอะไรก่อนหลัง อะไรมากน้อยแค่ไหน และจะอันไหนจะเริ่มก่อนหลัง
มันจึงออกมาเป็นผลงานบันลือโลก ที่ฝังใจประชาชนจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน แล้วก็ยังมีคนจำนวนมากจำได้ และทำให้คนเหล่านั้นสนับสนุนเขาไม่เปลี่ยนแปลง
แต่เพราะความหวาดระแวง
จากคติพจน์ “อยู่ข้างหลังแต่อย่าบังมิด”
ที่แปลว่า ทักษิณอยู่ข้างหลัง ที่ถ้ามีอะไรผิดพลาด คนข้างหน้า คือ ดร.สมคิด ก็รับผิดไป แต่ถ้าสำเร็จ คนต้องเห็นว่า มีทักษิณเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จ
แต่เมื่อนโยบายประชานิยมประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้ภาพ ดร.สมคิด ที่อยู่ข้างหน้าเริ่มบังทักษิณที่อยู่ข้างหลังจนมิด จนนำไปสู่ความหวาดระแวง
เมื่อหวาดระแวง ความสัมพันธ์ก็พังในที่สุด
เก่งได้ แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย
เมื่อ ดร.สมคิด ย้ายข้าง ความเป็นกุนซือระดับปรมาจารย์ก็ยังคงติดอยู่ที่ตัวเขา.........
แต่...
จอมทัพคนใหม่ไม่ได้ชื่อทักษิณ
แต่ชื่อประยุทธ์ นายทหารอาชีพ
ที่ไม่เคยรู้เรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีชั้นเชิงทางด้านการเมือง ไม่มีพื้นฐานการทำธุรกิจ
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณนึกภาพออกรึยัง ว่าทำไมนโยบายประชานิยมจากคนคิดคนเดียวกัน ทำไมผลออกมาไม่เหมือนกัน
เพราะจอมทัพเป็นคนละคน
ดร.สมคิด คือ กุนซือ เป็นกุนซือที่เป็นสุดยอดนักยุทธศาสตร์ที่หาตัวจับยากที่สุดในเมืองไทยในรอบศตวรรษเลยทีเดียว
ถ้าทักษิณเดินอยู่ในกรอบ เหมือนกับตอนที่ยังไม่มีอำนาจทางการเมือง เหมือนกับที่ยังอยู่ในกลุ่มเพื่อนเก่า ที่นั่งคุยปรึกษากันว่า จะนำพาให้ไทยรุ่งเรืองได้อย่างไร ไม่มีดาร์กไซด์ที่แอบฝังอยู่ภายในจิตใจ
ป่านนี้ทั้งทักษิณ ทั้งประเทศไทย และทั้งทีมงาน คงก้าวไกล และรุ่งเรือง เป็นที่นับหน้าถือตาไปโดยพร้อมเพรียงกันแล้วทั้งคณะ
แต่เพราะเพื่อนใหม่ ที่มาพร้อมกับอำนาจใหม่ที่หอมหวน จนลืมอุดมการณ์แต่เดิม และดาร์กไซด์ออกมามีอำนาจเหนือจิตใจ
ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปจนยากจะจบลงได้ง่ายๆ แบบนี้
คนเลวสำนึกผิดกลายเป็นคนดีมีให้เห็น
แต่ดาร์กไซด์ที่อยู่ภายในจิตใจของใคร มันก็อยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ต้น
............................................................................
ที่มา : อ่านมานานแต่จำแหล่งที่ไม่ได้เสียแล้วต้องขออภัย
โปรดติดตามตอนต่อไป”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อยู่ที่ ดร.สมคิด จะให้คำตอบกับเรื่องนี้ได้หรือไม่ ว่าใครลอกใครหรือไม่ รวมทั้งคนไทยรักไทย ยุคก่อตั้ง ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดี ว่า ดร.สมคิด มีบทบาทมากน้อยแค่ไหน ในการจัดทำนโยบายประชานิยม ถ้าไม่โกหกตัวเอง