xs
xsm
sm
md
lg

กทม.เตรียมพร้อม 4 รพ.รองรับดูแลผู้ป่วยโควิด-19

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กทม.เตรียมพร้อม 4 รพ. รองรับดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทั้ง รพ.กลาง รพ.เจริญกรุงฯ รพ.ตากสิน รพ.สิรินธร พร้อมสำรอง รพ.บางขุนเทียน ช่วยดูแล หากมีความจำเป็นมากขึ้น

วันนี้ (16 มี.ค. 63) พญ.วันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วย นางจินดารัตน์ ชโยธิน โฆษก กทม. และ น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต โฆษก กทม. แถลงข่าวผลการประชุมศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) กทม. ว่า กรณีข่าวสถานีดับเพลิงบางอ้อ ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งสถานี ไม่เป็นความจริง โดยจากการตรวจสอบ พบว่า มีเจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงบางอ้อ ไปร่วมกิจกรรมที่สนามมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังจากทราบข่าวว่า มีผู้ติดเชื้อที่สนามมวย เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงได้เดินทางไปตรวจด้วยตนเอง ที่สถาบันบำราศนราดูร เมื่อวันที่ 13 มี.ค. หลังจากทราบว่ามีผลเลือดเป็นบวก จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ พร้อมกับรอผลการตรวจยืนยันจากการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

เมื่อทราบว่า ติดเชื้อโควิด-19 แน่นอนแล้ว กทม.ได้ส่งตัวเข้ารับการบำบัดรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนด โดยสำนักการการแพทย์ได้นำผู้ติดเชื้อดังกล่าวเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ใกล้ชิดเสี่ยงสูง จำนวน 35 คน ให้กักตัวเป็นเวลา 14 วัน  ส่วนผู้ใกล้ชิดที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำ จำนวน 2 ราย ได้ให้คำแนะนำในการเฝ้าระวังสังเกตอาการตนเอง พร้อมกันนี้ ได้ทำ Big Cleaning และฆ่าเชื้อ บริเวณลานจอดรถ พื้นที่ภายในอาคาร รวมถึงจุดเสี่ยงที่สัมผัสบ่อยๆ เช่น ลิฟต์ ราวบันได ประตู เก้าอี้โต๊ะ และพื้นที่โดยรอบสถานีดับเพลิงบางอ้อ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.แล้ว

สำหรับการเตรียมความพร้อมรองรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์นั้น กทม.ได้จัดเตรียมไว้ 4 โรงพยาบาล โรงพยาบาลละ 6 เตียง รวมทั้งหมด 24 เตียง ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลตากสิน และ โรงพยาบาลสิรินธร หากมีความจำเป็นที่มากกว่านี้ จะใช้โรงพยาบาลบางขุนเทียน ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยนอก โดยยังไม่เปิดรักษาผู้ป่วยใน และได้จัดเตรียมพื้นที่รองรับตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยได้เลือกศูนย์ฟื้นฟูกลางน้ำ ซึ่งมีทั้งหมด 8 อาคาร อาคารละ 4 ห้อง รวมทั้งหมด 32 ห้อง สำหรับเป็นสถานที่บำบัดรักษา 

ส่วนสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผลได้ประสานงานกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ผู้จัดทำแอปพลิเคชัน AOT Airports สำหรับให้ผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทุกคนดาวน์โหลดและกรอกเบอร์โทรศัพท์ เพื่อใช้ในการติดตามตัวผู้มีความเสี่ยงกลับมาตรวจและเฝ้าระวังได้ทันท่วงที และแอปพลิเคชัน SydeKick for ThaiFightCOVID สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องกักตัวที่บ้านและแรงงานไทยที่กลับจากประเทศเสี่ยง ซึ่งใช้ในการติดตาม เฝ้าระวังผ่านระบบ Location Tracking รู้พิกัดกลุ่มเสี่ยง เพื่อนำมาประยุกต์ให้สำนักอนามัย กทม.นำไปปรับใช้ในการควบคุมดูแลประชาชนที่ต้องกักกันตนเองในพื้นที่ กทม. โดยจะพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อกำหนดให้ประชาชนที่กักกันตนเอง ทำการประเมินอาการ และรายงานผลให้ทราบเป็นรายวัน และสำนักงานเขตมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบ สำหรับรายละเอียดการดำเนินงานจะต้องมีการพิจารณาประกอบกับระบบแอปพลิเคชันของรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ สำนักพัฒนาสังคมและสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ได้จัดการสอนและผลิตหน้ากากอนามัยผ้าให้กับประชาชนที่สนใจโดยทำการสอน ณ สถานที่ของหน่วยงาน ดังนี้ โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร 8 แห่ง ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร 6 แห่ง ศูนย์กีฬากรุงเทพมหานคร 11 แห่ง ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร 35 แห่ง หน่วยงานอื่นของรัฐและเอกชน อาทิ ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ พาราไดซ์พาร์ค และอื่นๆ สำหรับการผลิตหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้ประชาชน เริ่มผลิตตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยจำนวนหน้ากากผ้าที่ผลิตได้นับถึงวันที่ 13 มี.ค. 63 โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร 8 แห่ง สามารถผลิตได้รวมทั้งสิ้น 10,901 ชิ้น แจกจ่ายแล้วรวมทั้งสิ้น 9,919 ชิ้น

สำหรับแผนการสอนทำหน้ากากอนามัยผ้า ณ สถานที่หน่วยงานรัฐและเอกชน จำนวน 99 แห่ง ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 78 หน่วยงาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 7,580 คน ผลิตหน้ากากได้ 15,160 ชิ้น สำหรับนำกลับไปใช้ในครัวเรือน (2 ชิ้น/คน) อย่างไรก็ดี ขอให้ประชาชนดูแลป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19 โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน สำหรับผู้ที่ไม่ป่วยควรใช้หน้ากากอนามัยผ้า หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ

ทั้งนี้ สำนักอนามัยได้ถอดบทเรียนอู่ฮั่น เพื่อนำมาจัดทำแผนป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 นั้น สรุปประเด็นสำคัญที่ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้สำเร็จ ดังนี้ 1. ห้ามโยกย้ายประชากร 2. ห้ามรวมกลุ่มจัดกิจกรรม 3. หาผู้ป่วยและแยกออกมาให้เร็วที่สุด 4. ห้ามผู้ป่วยออกมาพื้นที่สาธารณะ 5. กำหนดความเสี่ยงของบุคคล 6. ประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง 7. เพิ่มสถานที่รองรับผู้ป่วย 8. สนับสนุนปัจจัยสี่และหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะผู้ป่วย และ 9. กำหนดระยะห่างระหว่างบุคคลให้เลยพ้นระยะทางในการส่งต่อเชื้อโรค








กำลังโหลดความคิดเห็น