ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เงิบมั้ย?... “วัฒนา” กะโอ่แขวะ “เฮียกวง” ลอก “โอทอป” เจอเปิดที่มามันสมองไทยรักไทย เบื้องหลัง “ทักษิณ” ฉายา ตาดูดาว เท้าติดดินตัวจริง คือ “สมคิด”
เมื่อวันก่อน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงแผนที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย นัยสำคัญเพื่อเตรียมพร้อมให้ความเชื่อมั่นกับสังคม ว่า ทางรอดประเทศจะต้องทำอย่างไร เพราะมหันตภัยโควิด-19 นั้น หนักหนาสาหัสทั่วโลก รายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว ประเมินกันว่าจะฟุบยาว
ในภาวะที่สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป “สมคิด” เสนอแผนรองรับด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy)
สรุปได้ว่า คือ การกลับมา “พึ่งพาเศรษฐกิจภายใน” ทำอย่างไรที่จะให้เข้าไปสู่การให้ชุมชน การผลิตภาคการเกษตรที่ยกระดับคุณภาพไปสู่อุตสาหกรรมอาหาร การพัฒนาสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) พัฒนาช่องทางจำหน่าย แพลตฟอร์มออนไลน์ และเร่งทำฐานข้อมูล “บิ๊กเดต้า” เทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้
“นี่คือ ทางรอดที่จะหล่อเลี้ยงสังคมไทยให้ข้ามผ่านจุดนี้ไปได้ นี่คือหัวใจ” สมคิด กล่าวไว้
ผ่านมาหนึ่งวัน “วัฒนา เมืองสุข” แกนนำพรรคเพื่อไทย คงคันไม้คันมือ จึงโชว์วิชันบ้าง โพสต์ข้อความลง เฟซบุ๊ก Watana Muangsook แขวะรัฐบาลและรองนายกฯ บอกว่า “ผมแทบเป็นลมเมื่อได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ถึงแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการปลดล็อกดาวน์ โดยจะพัฒนาสินค้าโอทอปซึ่งจะเป็นทางรอดของชาติ เพราะนั่นเป็นความคิดของพวกผมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว...“เจ้านายผม” ฝากบอกว่า พฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งเป็นหัวใจของการค้าจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในต่างประเทศจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ล่าสุด คณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้เปิดสอนวิชาใหม่ ชื่อว่า Behavior Economy ดังนั้นการลอกนโยบายของรัฐบาลท่านมาใช้ จึงต้องพัฒนาและเข้าใจ วิธีคิด เพราะแม้แต่ไวรัสยังมีการพัฒนาจนมนุษย์เอาชนะยากขึ้น มนุษย์ก็ต้องพัฒนาและคิดตามให้ทัน ไม่เช่นนั้นจะแพ้ไวรัส แถมเสียเงินเปล่าแบบที่เอานโยบายของไทยรักไทยมาทำโดยไม่เข้าใจ”
สรุปว่า “วัฒนา” กล่าวอ้าง “สมคิด” ลอกเลียนแบบไทยรักไทย วัฒนาและพวกต่างหากที่คิดไว้นานแล้ว วันนี้ถ้าเดินตามทักษิณแบบ “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” รับประกันว่าประเทศรอดแน่
งานนี้ ก็ช่างบังเอิญ วันเดียวกันนี้ มีนักประวัติศาสตร์ “อัษฎางค์ ยมนาค” ได้โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับ ทักษิณ ชินวัตร, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หัวเรื่อง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทย” เมื่อสกายวอล์กเกอร์เข้าสู่ดาร์กไซด์ พอดี
เนื้อความบอกเล่า ความเป็นมาของทักษิณตั้งแต่ทำธุรกิจและลงเล่นการเมือง ความตอนหนึ่งระบุว่า ... ดร.สมคิด เป็นมันสมองด้านเศรษฐกิจให้กับทักษิณ ตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งพรรคไทยรักไทย นโยบายเศรษฐกิจของไทยรักไทย มาจาก ดร.สมคิด เป็นส่วนใหญ่
ถ้าพวกเราสังเกตดูดีๆ คงเคยรู้สึกว่า ทำไมนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. จึงมีนโยบายประชานิยมที่คล้ายกับของไทยรักไทยมากเหลือเกิน
อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะนึกอะไรออกมั้ยว่า เจ้าของไอเดีย “นโยบายประชานิยม” มีใครเป็นแกน...
ถ้านึกไม่ออก จะบอกให้
“ดร.สมคิด” เป็นนักยุทธศาสตร์ เป็นปรมาจารย์ด้านการตลาด ที่เคยเรียนวิชาการตลาดมาจากปรมาจารย์ทางการตลาดระดับโลกที่อเมริกามาก่อน
ฉายา “ตาดูดาว เท้าติดดิน” ที่คนเข้าใจมาโดยตลอดว่า คือ “ทักษิณ” นั้น จริงๆ คนที่ตาดูดาว เท้าติดดิน ก็คือ “ดร.สมคิด”
เขาคือกำลังสำคัญที่คิดนโยบายประชานิยมอันเลื่องชื่อ ที่ทำให้ไทยรักไทย ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนซื้อใจประชาชนเกือบทั้งประเทศเอาไว้ได้ และทำให้ทักษิณ เป็นที่ชื่นชมว่า มีความสามารถในการสร้างเศรษฐกิจที่มั่งคั่งให้กับชาติและประชาชน จนถึงปัจจุบัน
ถ้า “วัฒนา” ไม่เลอะเลือน หรือแกล้งทำเป็นลืม เรื่องระหว่างนายตัวเอง “ทักษิณ” และ “สมคิด” ประวัติศาสตร์ส่วนนี้ก็น่าจะพอจำได้ และก็คงตอบได้ว่า... จริงๆ แล้วใครลอกใคร?
**เห็นแล้วปวดตับ!! “พี่ศรี” แฉจะจะ รถเข็น กฟผ. คันละแสนห้า ทั้งที่หน้าตาไม่ต่างจากรถเข็นผัก จี้ สตง.เข้าไปตรวจสอบด่วน เพราะนี่คือต้นทุนที่การไฟฟ้าผลักไปอยู่ในบิลค่าไฟ ที่เรียกว่า “ค่า FT”
เมื่อรัฐบาลขอความร่วมมือแกมบังคับให้ประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และ “เวิร์ก ฟรอม โฮม” ตามมาตรการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งประชาชนก็สู้ทนให้ความร่วมมือ บางรายที่หยุดอยู่บ้านก็ทำให้ขาดรายได้... แต่เมื่อเจอบิลค่าไฟที่พุ่งพรวดขึ้นมาแบบผิดสังเกต ชนิดที่ว่า “แพงมหาโหด” ก็ถึงกับร้องกันระงมเมือง...
แม้ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือ คือ ลดค่าไฟให้ 3% แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทนาน 3 เดือน และบ้านที่ใช้มิเตอร์ 5 แอมป์ ให้ใช้ไฟฟรี 90 หน่วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่ก็ติดมิเตอร์ 15 แอมป์ กันทั้งนั้น และที่ลดให้ 3% นั้นก็ถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะในยามที่ประเทศชาติ ประชาชนต้องเผชิญวิกฤตอย่างแสนสาหัส การไฟฟ้าควรจะมีมาตรการให้ความช่วยเหลือ “ยอมขาดทุนกำไร” ไม่ใช่ถือโอกาสซ้ำเติมเช่นนี้ !!
และเมื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หยิบเอาความเดือดร้อนของประชาชนจากค่าไฟ มาขย่มในรายการ “สนธิทอล์ก” ผ่านสื่อโซเชียลฯ ก็เกิด “ทัวร์ลง” ที่การไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ... จุดกระแสให้มีการตรวจสอบค่าไฟที่แพงผิดปกติ พร้อมตรวจสอบการบริหารจัดการภายในของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งด้วย เพราะที่ผ่านมา ถือว่าเป็นองค์กรที่ “อู้ฟู่” ในแต่ละปีมีรายได้มหาศาล ไม่มีใครเข้าไปแตะได้ ถึงสิ้นปีพนักงานรับโบนัสกันคนละหลายเดือน
เมื่อมีเสียงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ เมื่อสองวันก่อน “นักร้องเสียงดี แม่ยกเยอะ” อย่าง ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ได้บุกไปที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ขอให้ สตง. เข้ามาตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ เพื่อนำไปสู่การยับยั้งและเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องการไฟฟ้าที่ส่อทุจริต ต้นเหตุไฟฟ้าแพง เป็นปัญหาที่เดือดร้อนกันมานาน เป็นผลพวงจากนโยบายที่ผิดพลาดและล้มเหลว ในการบริหารจัดการระบบพลังงานไฟฟ้าของรัฐ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ที่ให้เอกชนเข้าผลิตไฟฟ้ามากเกินไป และเรียกเก็บค่าไฟจนเป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร...
นอกจากนี้ ยังขอให้ตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์กันของหน่วยงาน และการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การจัดซื้อ จัดจ้าง จัดหาครุภัณฑ์ที่แพงกว่าปกติ หรือไม่, เรื่องกำหนดเพดานให้พนักงาน ผู้บริหารใช้ไฟฟ้าฟรี ถ้าใช้ไม่ถึงก็นำส่วนที่เหลือไปรับเป็นค่าตอบแทนได้ ใช่หรือไม่, การจ่ายโบนัส 3 การไฟฟ้าที่สูงหรือไม่ และซิกแซกทำงานโอที เพื่อหวังเงินตอบแทน ใช่หรือไม่ ฯลฯ ซึ่งสุดท้ายถูกนำมารวมเป็นค่าต้นทุนค่าบริหารของการไฟฟ้า และนำไปรวมเป็น “ค่า FT” มาดูดเงินในกระเป๋าของประชาชน ทุกครัวเรือน ทุกเดือน ทุกปี
เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม “พี่ศรี” ยังงัดตัวอย่างเกี่ยวกับปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ของ กฟผ. ที่ประชาชนเห็นแล้วต้องรู้สึก “ปวดตับ” เป็นอย่างยิ่ง เช่น การจัดซื้อรถเข็น (ลักษณะเดียวกับรถเข็นผักทั่วไป) เพื่อใช้ในแผนงาน โครงการ Supply and Construction of 500/230 kv (GIS) ราคาต่อ 1 คัน คือ 152,956.21 บาท ซึ่ง “พี่ศรี” บอกว่า หากไปหาซื้อแถวย่านวรจักร หรือย่านรังสิต ก็ไม่น่าจะเกินคันละ 1,000-2,000 บาท มีให้เลือกเยอะแยะ ยัดตูดตาย แต่ทว่า กฟผ. กลับซื้อในราคาที่แพงลิบลิ่ว เหมือนทำด้วยทองคำ ทั้งที่จริงก็เป็นแค่รถเข็น ทาสีเหลือง
“พี่ศรี” บอกว่า นี่เป็นเพียงตัวอย่างแบบ “น้ำจิ้ม” ของการจัดซื้อ จัดหาครุภัณฑ์ของ กฟผ. เป็นเพียงฝุ่นใต้พรม ที่ถูกละเลย ไม่มีการตรวจสอบกันอย่างจริงจัง ปล่อยให้องค์กรแห่งนี้ บริหารจัดการเงินแผ่นดินกันอย่างโจ่งครึ่ม ประหนึ่งเป็นบ่อน้ำมันของรัฐวิสาหกิจ ที่นำมาหล่อเลี้ยงพนักงานเจ้าหน้าที่กว่า 2 หมื่นคน เพราะค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ จะถูกนำมาคิดเป็นต้นทุนในการบริหารจัดการไฟฟ้า แล้วก็ผลักภาระทั้งหมดมาให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกครัวเรือน ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ค่า FT” นั่นเอง
ถึงเวลาแล้วที่สตง.จะต้องเข้ามาตรวจสอบองค์กรการไฟฟ้าอย่างจริงจัง และรวดเร็ว ไล่ดะตั้งแต่ฝ่ายจัดซื้อ ไปจนถึงผู้ว่าการ ว่า มีส่วนรับรู้การจัดซื้อจัดหาพัสดุ หรืออุปกรณ์ในราคาแพงกว่าปกติ หรือไม่ อย่างไร เพราะแต่ละแผนงานโครงการ มีการตั้งงบจัดซื้อนับพันล้านบาท อย่างสัญญา เลขที่ W100321-222M-SPPC-S-02 มีมูลค่าถึง1,130,698,504.73 บาท นี่ต้องเข้าไปดู เพื่อที่จะได้นำมาลงโทษ และกำหนดมาตรการป้องกัน ที่เข้มงวดต่อไป
ถึงเวลาแล้วที่การไฟฟ้าทั้ง 3 องค์กร จะต้องถูกตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส ไม่ใช่แหล่งขุมทรัพย์ ที่ใครเข้าไปแตะไม่ได้