ศบค.ปลื้มไม่มีคนตาย พบ 14 วัน 29 จังหวัด ไม่มีผู้ป่วยเพิ่ม เผย 4 คนสัตหีบเป็นไข้รักษาตัวต่อ ผวาคนรับของแจกของดอนเมือง เสี่ยงซูเปอร์สเปรดเดอร์ เตือน 14 วันดูแลตัวเอง 100% ไม่เช่นนั้นกินอาหารทางสายยางแทน
วันนี้ (18 เม.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 33 ราย หายป่วยแล้ว 1,787 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,733 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 899 ราย และเสียชีวิตวันนี้ศูนย์ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 47 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบสูงสุด 20-29 ปี และช่วงอายุ 30-39 ปี ซึ่ง 2 ช่วงอายุสลับกันขึ้น ขอให้คนในครอบครัวช่วยกันดูแลคนกลุ่มนี้ให้ดี เพราะเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อสูงสุด และเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิต ส่วนสถานการณ์ภาพรวมยังพบว่า กรุงเทพฯ และนนทบุรี ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เพราะสถาบันบำราศนราดูรอยู่ใน จ.นนทบุรี ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในจังหวัดมีตัวเลขสูงขึ้น แต่จะว่าเขาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องไม่ว่ากัน เพราะตัวเลขดังกล่าวเป็นสถิติที่เอาไว้สอนใจ เตือนใจว่าเราจะหาทางแก้ไขอย่างไรต่อไป
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วน 29 จังหวัด ไม่พบผู้ป่วยเพิ่มใน 14 วันที่ผ่านมา คือ ระยอง และ ตาก เมื่อวิเคราะห์อัตราการเสียชีวิตของประเทศไทยจำนวน 47 ราย ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-17 เม.ย. ว่า อัตราการป่วยและเสียชีวิตอยู่ที่ 1.7 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ แสดงถึงศักยภาพทางการแพทย์สาธารณสุขของเรา ทั้งนี้ กลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุด คือ อายุ 50-59 ปี จำนวน 14 ราย จากผู้ป่วย 367 ราย นับเป็น 29.8 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าหนักที่สุด ขณะที่โรคประจำตัวที่พบร่วมในผู้เสียชีวิตนั้น อันดับ 1 คือ โรคเหวาน รองลงมา โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ ซึ่งคนที่ไม่มีโรคประจำตัวก็เสียชีวิตได้ จึงประมาทไม่ได้ จะบอกว่าแข็งแรงดีก็เสียชีวิตได้ แม้จะอายุน้อย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศ ขณะนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อ 2,250,751 ราย เสียชีวิต 154,261 ราย โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพิ่มภายในวันเดียว 1,290 ราย ทั้งที่ประเทศเขากำลังจะเปิดเมือง จึงเป็นเรื่องเตือนใจถึงมาตรการของเราที่จะออกต้องดูสถานการณ์โลก เรื่องนี้ต้องวิเคราะห์ดูสถานการณ์ข่าวสารกันต่อไป อัตราการเสียชีวิตเป็นตัววัดการป้องกันโรคและรักษา เรื่องการเสียชีวิตก็เป็นเรื่องใหญ่ของทุกประเทศในโลกนี้ สำหรับสถิติการรณรงค์ในช่วง 7 วันอันตรายช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปีนี้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ยอดบาดเจ็บทางถนนลดลง โดยปี 63 ผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 9,764 ราย ลดลงจากปี 61 ที่มี 28,993 ราย และปี 62 ที่มี 30,212 ราย ลดลง 67.68 % ส่วนสถิติผู้เสียชีวิตทางถนน ปี 63 อยู่ที่ 150 ราย ลดลงจากปี 61 ที่มีจำนวน 487 ราย และ ปี 62 ที่มีจำนวน 517 ราย ถือว่าลดลงถึง 71% ซึ่งหลายคนบอกว่าอยากให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี แต่คนก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ส่วนผลการปฏิบัติงานของฝ่ายมั่นคงช่วงเคอร์ฟิวคืนวันที่ 17 เม.ย.ต่อเนื่องเช้าวันที่ 18 เม.ย. ออกนอกเคหสถานจำนวน 691 ราย ลดลงจากเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านจำนวน 129 ราย ชุมนุมมั่วสุม เสี่ยงต่อการติดเชื้อ 113 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 4 ราย ซึ่งสาเหตุของการมั่วสุมยังคงเป็นการดื่มสุรา เล่นพนัน และยาเสพติด โดยจังหวัดที่มีผู้ฝ่าฝืนมากที่สุด 10 อันดับแรก อันดับ 1 คือ นนทบุรี กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรปราการ สงขลา สมุทรสาคร ภูเก็ต กระบี่ พระนครศรีอยุธยา และ ลพบุรี ส่วน 10 จังหวัดที่ไม่มีผู้กระทำผิด คือ ยโสธร หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี แม่ฮ่องสอน อ่างทอง ฉะเชิงเทรา ตราด สุโขทัย และ สมุทรสงคราม
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า วันเดียวกันนี้ จะมีนักเรียนทุนเอเอฟเอส 2 เที่ยวบินเดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มแรกจำนวน 162 คน ลงที่สนามบินอู่ตะเภา เมื่อเวลา 11.15 น. และช่วงเวลา 21.45 น.ซึ่งเป็นเที่ยวสุดท้าย อีกจำนวน 132 คนลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยในการประชุมของ ศบค.วงเล็กในวันเดียวกันนี้ อยากฝากประชาชนที่อยู่รอบๆ สถานที่กักตัวคนไทยกลับจากจากต่างประเทศไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมีการประกอบการทำงานจากหลายภาคส่วน ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร และสาธารณสุข และสถานที่ใช้กักตัวมีการประเมินมีระบบดูแลให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ และตามกระบวนการทุกอย่าง มั่นใจได้ว่าสถานที่กักตัวทุกแห่งถูกประทับตราว่ามีคุณภาพเพียงพอ ท่านที่อาศัยอยู่รอบๆไม่ต้องกังวลว่าผู้ป่วยเมื่อไอ หรือจาม อากาศที่อยู่แถวนั้นจะลอยมาติด ไม่ต้องไปคิดขนาดนั้น เพราะระยะ 2 เมตร ละอองฝอยก็ตกลงพื้นแล้ว และคนที่ถูกกักตัวไม่มีสิทธิจะออกมาข้างนอก การเก็บขยะ และอาหารมีการจัดเก็บตามมาตรฐานสาธารณสุข
เมื่อถามว่า จำนวนคนไทยที่ลงทะเบียนขอกลับประเทศมีกี่คน นพ.ทวีศิลป์ กล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานข้อมูลลงทะเบียนของคนไทยที่จะเดินทางกลับตั้งแต่วันที่ 15-18 เม.ย. ในด่านชายแดนทั่วประเทศ จำนวน 1,984 คน โดยด่านชายแดนใต้จำนวน 1,604 คน ซึ่งเฉลี่ยแต่ละวันเดินทางผ่านเข้ามาประมาณ 200 คน ซึ่งสามารถรองรับได้ ส่วนผู้ที่จะบินกลับมาถือว่ามีน้อยมาก ส่วนสถานที่กักตัวในแต่ละพื้นที่ถือว่าเพียงพอกับคนที่จะเข้ามา หากพื้นที่เต็มก็จะขยับไปจังหวัดใกล้เคียง
เมื่อถามต่อว่า คนไทยกักตัวที่บ้านพักรับรอง ที่สัตหีบ ครบกำหนด 14 วัน แต่พบว่ามี 4 คนมีไข้สูงมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 แม้ว่าจะกักตัวไว้ 14 วันหรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เราพยายามดูแลเอาช่วงเวลา 14 วัน มาคัดกรอง เพื่อให้มั่นใจและให้แต่ละคนได้ดูแลพื้นฟูร่างกาย ซึ่ง 4 คนดังกล่าว ไม่ใช่ 4 คนแรกที่พบว่ามีไข้ ในช่วงจะครบ 14 วัน ก่อนหน้านี้ มีกลุ่มแรงงานเดินทางกลับจากประเทศเกาหลี และกลุ่มคนไทยกลับจากอู่ฮั่น ประเทศจีน ก็ถูกกักตัวครบ 14 วัน พบว่ามีไข้เช่นกัน จากนี้ 4 คนดังกล่าวเราก็จะนำไปเข้ารับการรักษาต่อไป ส่วนคนที่เหลือสามารถกลับบ้านได้ แต่ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เช่นเดียวกัน ถ้าไปในที่คนพลุกพล่าน หรือไม่ใส่หน้ากากอนามัย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีประชาชนจำนวนมากไปต่อแถวรับของยังชีพ ที่บริเวณหน้าวัดดอนเมือง จะมีโอกาสติดเชื้อหรือไม่ และภาครัฐจะเข้าไปจัดการและแก้ปัญหาอย่างไร นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ตนเห็นข่าวก็ตกใจมาก ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่เราสื่อสารกันทุก ว่าการอยู่พื้นที่ชุมนุมกันมากๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ยิ่งคนจำนวนมากไปยืนแออัด รอคอยใช้เวลากันพอสมควร อย่างกรณีไปร้านเหล้าเป็นกลุ่มเพียง 5-10 คน ก็ยังติดกันทั้งร้าน แม้บอกว่าจะอยู่ในพื้นที่เปิด บนถนน ไม่เป็นอะไร แต่คนแอดอัดมีความเสี่ยง ตนขอร้องท่านผู้มีใจกุศล อยากบริจาคต้องมีระบบที่ดีด้วย มีการจัดระยะห่าง การทำแบบนี้ด้านหนึ่งท่านไม่ได้ทำตามข้อกำหนดกฎหมาย ตนไม่ได้อยากจะพูดจะว่าหมอพูดขู่อีก แต่นับไปอีก 7-14 วัน คนที่ต่อแถวต้องเฝ้าระวังตัวเองอย่างดี หากมีอาการไข้ ไอแห้ง และเจ็บคอ ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะท่านเป็นกลุ่มเสี่ยง มันเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อก็ต้องเตือนให้ดูแลสุขภาพ ตนในฐานะตัวแทนสาธารณสุขก็พร้อมดูแล ทั้งนี้ คนที่ไปต่อแถวต้องใส่หน้ากากอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ อย่างไรก็ตาม แนะนำผู้ใจบุญ และผู้ที่จะบริจาคให้ติดต่อกับ กทม.และเจ้าหน้าที่ของภาครัฐ ในส่วนผู้รับบริจาคของที่รับมาจะมีค่าเมื่อกินตอนสุขภาพดีและแข็งแรง แต่มันจะมีค่าน้อยลง หากของที่รับมาต้องไปวางไว้เฉยๆ แล้วท่านต้องกินอาหารทางสายยางแทน