กรณี นศ.โพสต์ด่ารัฐบาล พยาบาล หลังติดเชื้อ “โควิด-19” ดร.นิว จวกยับ “ทอน-ปิยบุตร” ไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา ท่ามกลางกระแสโรคระบาด ทั้งสองคนยังชวนนักเรียนนักศึกษาก่อม็อบ ต่อสู้เพื่อตัวเอง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 มี.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
โดยระบุว่า “หนุ่มก๊วนทองหล่อโพสต์ด่าหมอ ด่ารัฐบาล หลังรับเชื้อเมื่อ 27-29 ก.พ. แล้วก็ไปร่วมชุมนุมทวงคืนประชาธิปไตยที่ ม.เกษตรฯ 29 ก.พ.
ลองคิดดูเถอะครับ ตอนแรกที่ประเทศไทยควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็ยังมีคนที่ขาดจิตสำนึกที่ไม่รับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเองและผู้อื่นในสังคม
อีกทั้งคนที่คอยปลุกระดมมวลชนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้คำนึงถึงความน่ากลัวของการแพร่ระบาดของ COVID-19 เลยแม้แต่นิดเดียว
แทนที่จะช่วยกันสร้างความตระหนักในการช่วยกันยับยั้งและควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ตอนนั้น
แล้วแบบนี้ปิยบุตรกับธนาธรจะรับผิดชอบยังไงไหว?
เอาปัญญาที่ไหนมารับผิดชอบ?
ตกลงแล้วสู้เพื่อประชาชนหรือหลอกใช้มวลชนมาสู้เพื่อตัวเองกันแน่?
สุดท้ายแล้วใครเดือดร้อน...คนที่ปลุกระดมเดือดร้อนด้วยไหม?
ยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า?
ปิยบุตรคิดได้ยังไงว่า รัฐบาลอ้างโรคระบาดมาห้ามการชุมนุม?
กรุณาเบิกตาและสมองกว้างๆ ดูการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกในตอนนี้ด้วยว่าเวลามันแพร่จริงๆ แล้วมันร้ายแรงแค่ไหน?
แถมตอนนั้นก็มีตัวอย่างและบทเรียนของการแพร่ระบาดในประเทศจีนแล้วอีกด้วย...ทำไมไม่รู้จักคิด?
ที่ธนาธรเพิ่งโผล่มาสร้างภาพ social distancing/การส่งเสริมให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการพบปะกัน มันสายเกินไปรึเปล่า? ในขณะที่ภาครัฐและทีมงานสาธารณสุขเขาทำงานกันอย่างหนักเพื่อควบคุม COVID-19 มาตั้งแต่เดือน ม.ค.?
อยากให้ปิยบุตรกับธนาธรลองย้อนมองดูพฤติกรรมของตัวเองดูก็แล้วกัน เพราะหลักฐานการโพสต์จำนวนมากมายมันคาอยู่ทั้ง Facebook และ Twitter ของพวกเขารวมถึงแนวร่วมตลอดจนเครือข่ายของพวกเขาทั้งหมด...ว่ามันเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน? ที่คอยแต่ผลักดันให้มวลชนออกมาสู้เพื่อปกป้องตนเอง และพวกพ้องที่ทำผิดกฎหมายในยามที่ประชาชนทั้งประเทศกำลังเสี่ยงต่อความเป็นความตายเช่นนี้ !!!
นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ธนาธรบอกว่า เขาและคณะอนาคตใหม่จะมาร่วมกันชุมนุมด้วย อีกทั้งที่ปิยบุตรเปิดประเด็นว่ารัฐบาลอ้างโรคระบาดมาห้ามการชุมนุม...
“ขอยืนเคียงข้างกับทุกคน I stand in solidarity with you all.
ภาพของพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้ลุกขึ้นมาสู้กับความอยุติธรรมด้วยตัวเอง
ผู้คนที่ไม่ยอมเพิกเฉยต่ออำนาจเผด็จการ ผู้คนที่ไม่ยอมเหนียมอายต่อหน้าความอยุติธรรม
ผู้คนที่ร้อยรัดกันด้วยความหวัง และความฝันที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ก้าวหน้า เท่าเทียมและเป็นธรรม
หลังการสิ้นสุดของการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 24-28 ก.พ. ที่กำลังจะถึงนี้
ผมและคณะอนาคตใหม่จะมาร่วมเดินทางต่อไปกับพวกคุณ”
― ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 23 ก.พ. 63
“[ความเห็นทางกฎหมายต่อการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 สั่งห้ามการชุมนุมโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการระบาดของ Covid-19]
ทั้งหมดนี้ต้องกระทำด้วยความจริงใจมิใช่มีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น มิเช่นนั้น ประชาชนย่อมมีสิทธิตั้งข้อสงสัยได้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว การห้ามชุมนุมเป็นการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดเพื่อจำกัดเสรีภาพการแสดงออกของนักเรียนนิสิตนักศึกษาเยาวชนหรือไม่?”
― ปิยบุตร แสงกนกกุล 29 ก.พ. 63
อ้างอิง...https://www.thansettakij.com/content/423145
https://www.facebook.com/themettad/posts/1540796702735632
ประเด็นของ ดร.นิว แม้พุ่งเป้าความรับผิดชอบเรื่องนี้ไปที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการสนับสนุนแฟลตม็อบของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ท่ามกลางผู้ใหญ่หลายคนออกมาโพสต์ห้ามปรามกลัวติดและแพร่เชื้อโควิด-19 แต่ก็ถูกมองว่า เป็นพวกรัฐบาล และใช้การแพร่ระบาดเป็นข้ออ้าง
แต่ถ้าหนุ่มนักศึกษา ติดเชื้อจริง และติดมาจากการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง อย่างที่ ดร.นิว นำมาโพสต์ ประเด็นไม่น่าจะอยู่ที่ “ธนาธร-ปิยบุตร” จะรับผิดชอบอย่างไร รับผิดชอบได้หรือไม่เท่านั้น
แต่มันอยู่ที่ว่า การแพร่เชื้อตอนนี้เป็นอย่างไร ซ่อนเร้น อยู่ในหลืบชุมชนใดชุมชนหนึ่ง ที่มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยเป็นพาหะหรือไม่ หรือว่า โชคร้ายแต่เฉพาะหนุ่นคนนี้เท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะจริงในทางระบาดวิทยา เป็นเรื่องที่น่าคิด และน่าสืบค้นหาความจริงเป็นอย่างยิ่ง
ที่สำคัญ ประเทศไทยยังคงมองทุกสิ่งที่รัฐบาลเตือน เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ ทั้งที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่รัฐบาลระดมมารับมือ “โควิด-19” คอยชี้แนะ เรื่องนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งบทเรียน ที่ “ดร.นิว” ใช้คำว่า “ไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา” ถือว่าเหมาะสมแล้ว