"สนธิ"เชื่อหลังโควิด-19 หยุดการระบาด การเมืองโลกจะเปลี่ยน สหรัฐฯ จะลดอิทธิต่อชาติอื่นลง ขณะที่จีนจะเป็นผู้นำด้านการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ พร้อมชี้สาเหตุหน้ากากอนามัยในประเทศไทยขาดแคลน มาจากความไร้ประสิทธิภาพของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จึงเกิดการลักลอบนำหน้ากากไปขายในตลาดมืดและส่งออก ส่วน"เสี่ยบอย"คือหนึ่งในนายหน้าค้าหน้ากากในตลาดมืด พอถูกเปิดโปง ก็บังเอิญมีคนติดตาม"ร.อ.ธรรมนัส"เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หลายฝ่ายจึงสบโอกาสรุมถล่ม ร.อ.ธรรมนัส ทั้งที่ไม่รู้เรื่องด้วย
วันที่ 13 มี.ค.63 เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ถึงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดในหลายประเทศทั่วโลก พร้อมทั้งไขปริศนาเหตุใดจึงมีการขาดแคลนหน้ากากอนามัยในประเทศไทย หน้ากากอนามัยที่เคยบอกว่ามีในสต๊อก 200 ล้านชิ้น ก่อนประกาศเป็นสินค้าควบคุม แต่หลังจากกนั้นหายไป “บอย ศรสุวีร์”เป็นใคร ทำไมเมื่อเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ”เปิดเผยเรื่องการขายหน้ากาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จึงถูกรุมโจมตี
ทั้งนี้ นายสนธิ ได้กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ขณะนี้ในจีนและทางเอเชียเริ่มควบคุมการระบาดได้แล้ว โดยเฉพาะในจีนที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่ำลงเหลือตัวเลขไม่ถึง 2 หลัก จนนายสีจิ้นผิงไปเยือนเมืองอู่ฮั่นที่เป็นศูนย์การระบาด และดิสนีย์แลนด์ที่เซี่ยงไฮ้ เริ่มกลับมาเปิดแล้ว ขณะที่ในเกาหลีที่เคยมีการหวั่นวิตกก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง แต่พื้นที่การระบาดอย่างหนักไปอยู่ที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มวิตกกังวลกับจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อุปกรณ์การตรวจเชื้อไม่เพียงพอ เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือมาก่อน และการตรวจคัดกรองก็ไม่เข้มงวด จนล่าสุดนายทรัมป์ต้องสั่งห้ามคนเดินทางจากยุโรปเข้าประเทศ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ จะมีปัญหาในการบังคับให้คนกักตัวอยู่ในบ้าน เพราะคนอเมริกันชอบอิสระและมีการเดินทางตลอดเวลา ส่วนในยุโรปนั้น อิตาลีกำลังมีปัยหาอย่างหนัก มีผู้ติดเชื้อและจำนวนคนตายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีปัญหาการควบคุมการระบาด เพราะคนอิตาลีมีความเป็นเจกสูง ถ้าทางการบังคับให้อยู่แต่ในบ้านก็ไม่เชื่อฟัง
นายสนธิ กล่าวอีกว่า หลังจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ยุติลง โลกจะเปลี่ยนไปจากเดิม สหรัฐอเมริกาจะไม่มีบทบาทเหนือชาติอื่นๆ เหมือนเดิม ขณะที่จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ เนื่องจากมีประสบการณ์จากการที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศถึง 8-9 หมื่นคน ส่วนสหรัฐฯ ก็จะไม่ก้าวเหมือนเดิม มีความเห็นอกเห็นใจชาติอื่นมากขึ้น
สำหรับกรณีปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยนั้น นายสนธิกล่าวว่า เป็นความไร้ประสิทธิภาพของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ หลังจากมีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทย วันที่ 29 ม.ค.63 กระทรวงพาณิชย์เรียกประชุมผู้ผลิตหน้ากาอนามัยรายใหญ่ 11 ราย ก็บอกว่ามีสต๊อกอยู่ 200 ล้านชิ้น พอใช้ได้ถึงเดือน พ.ค.โดยไม่ต้องผลิตเพิ่ม แต่ภายหลังจากที่มีการประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ในวันที่ 4 ก.พ. กลับมีปัญหาหน้ากากขาดแคลน และโรงงานบอกว่ามีเหลือแค่ 5 แสนชิ้น แล้ว 190 กว่าล้านชิ้นหายไปไหนในช่วง 7 วัน
นายสนธิ กล่าวว่า สาเหตุที่หน้ากากอนามัยหายไปเพราะมีการนำออกสู่ตลาดมืดเพื่อขายเกินราคาและส่งออกต่างประเทศ โดยนักการเมือง ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ รวมหัวกับพ่อค้า ซึ่งเรื่องนี้ กรมการค้าภายในต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ เพราะไม่มีการเช็กสต๊อก โรงงานแจ้งปริมาณการผลิตเท่าไหร่ก็เชื่อตามนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริง โรงงานแจ้งกรมการค้าภายในต่ำกว่าการผลิตจริง เพื่อนำเอาหน้ากากอนามัยส่วนที่ไม่ได้แจ้ง ออกขายในตลาดมืด ซึ่งได้กำไรมากกว่าการขายในราคาควบคุม
นายสนธิ กล่าวอีกว่า เมื่อเพจ“แหม่มโพธิ์ดำ”เปิดโปงกรณีนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ บอย นายหน้าขายหน้ากากอนามัย ที่โพสต์เฟซบุ๊กคุยโม้โอ้อวดว่าสามารถจัดหาหน้ากากอนามัยให้ได้เป็นล้านๆ ชิ้น เพราะเขารู้จักผู้คนมากมาย รวมทั้งนายพิตตินันท์ รักเอียด ผู้ติดตาม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็มีการพุ่งเป้าโจมตี ร.อ.ธรรมนัส เพราะถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ทั้งที่ไม่รู้เรื่องด้วยเลย แต่ก็เป็นที่สบโอกาสของหลายฝ่าย ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือโอกาสโยนความผิดใส่ ร.อ.ธรรมนัส เพื่อกลบเกลื่อนความไร้ประสิทธิภาพของกระทรวงพาณิชย์ที่พรรคตัวเองดูแลอยู่ และคนในพรรคพลังประชารัฐ กลุ่มสามมิตร ก็ถือโอกาสโจมตี ร.อ.ธรรมนัสเพื่อหวังผลในการปรับ ครม.ซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตว่า “ดร.ชัย” เจ้าของโรงงานหน้ากากอนามัย(ที่นายบอยเป็นนายหน้า) ก็เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ ซึ่งเป็นพรรคอะไหล่ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน
นายสนธิกล่าวถึงเพจแหม่มโพธิ์ดำว่า มีคุณูปการที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย แต่ข้อมูลบางเรื่องก็คลาดเคลื่อน และขอเตือนว่าข้อมูลจากบางเพจที่แหม่มโพธิ์ดำนำมาใช้นั้น มาจาก พล.ต.ท.คนหนึ่ง ซึ่งถ้าสังเกตให้ดี กรณีนายบอยนั้น มีเป้าหมายที่จะให้กระเทือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสนธิ กล่าวว่า ถ้าจะถอนตัวจากรัฐบาลก็ถอนไปเลย แต่เชื่อว่าไม่ถอนแน่นอน เพราะงบประมาณปี 2563 จะเบิกจ่ายได้ในเดือนพฤษภาคม คงต้องรอให้ได้เงินได้ทองก่อน ถ้าจะหักกันก็ถึงปลายปีค่อยว่ากันอีกที
“เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมนัส เป็นเรื่องการตีกันภายใน เป็นเรื่องการถีบธรรมนัสออกไป แล้วก็เป็นเรื่องของการโยนขี้ให้ธรรมนัส และในขณะเดียวกันก็ยังพยายามสร้างภาพ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น พยายามสร้างภาพว่าตัวเองไม่ควรจะมาร่วมรัฐบาลชุดนี้” นายสนธิกล่าว
คำต่อคำ SONDHI TALK [13 มี.ค. 63] สถานการณ์Covid-19 เป็นอย่างไร ไขปริศนาหน้ากากอนามัยหายไปไหน
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ยังคงอยู่ในท่ามกลางของการระบาดของโรคโควิด-19 และท่ามกลางความมึนงง สงสัยว่าหน้ากากอนามัยในประเทศไทยหายไปไหนหมด
วันนี้จะมาคุยกันถึงเรื่องสถานการณ์ของโควิด-19 ซึ่งจะต้องมีการอัปเดตและอธิบายความบางอย่างล่าสุด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ท่านผู้ชมควรจะรับทราบเอาไว้ และในช่วงหลังก็จะมีการอธิบายเรื่องการหายตัวของหน้ากาก ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าท่านฟังผมพูดจนจบแล้ว ท่านจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง และท่านจะรู้เลยว่าหน้ากากหายไปไหนและไอ้โม่งตัวจริงคือใคร หลายท่านคงจะเดาถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แต่รอฟังผมไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน แล้วจะรู้ แต่ก่อนจะเข้าสู่รายการ ก็ขออนุญาตให้ท่านผู้ชมได้รับทราบถึงช่องทางในการดูรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิว่าจะมีที่ไหนบ้างและช่องทางไหนบ้าง
วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"
สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ
สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป
เอาล่ะครับท่านผู้ชม หลังจากรับทราบช่องทางกันเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีเรื่องบางเรื่องที่เป็นข่าวที่อยากจะให้รับทราบกันนิดหนึ่ง ตอนนี้คนที่ฟอลโลว์เราตก 9 แสนกว่าแล้ว ทางทีมงานก็บอกว่าถ้าครบ 1 ล้านเมื่อไร ซึ่งไม่น่าจะเกินเดือนมิถุนายน เราก็อาจจะมีของขวัญรางวัลอะไรบางอย่างให้กับท่านผู้ชม แต่ขอคิดดูนิดหนึ่งว่าจะเป็นอะไร
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะเรียนให้ท่านผู้ชมทราบก่อน คือ มีท่านผู้ชมหลายท่านถามมาว่า เสื้อมีขายไหม และหลายคนเห็นถ้วยกาแฟ SONDHI TALK ก็อยากได้ ผมคิดอย่างนี้ครับท่านผู้ชม ลองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมานิดหนึ่ง ถ้าเราจะทำเสื้อขาย หรือเราจะทำถ้วยกาแฟขาย หรือเราจะอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีสัญลักษณ์ SONDHI TALK หรือแม้กระทั่งเป็นถุงสำหรับใส่ของเวลาไปชอปปิ้ง ซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ หรือไปตลาด โดยมีชื่อ SONDHI TALK นั้น ถ้าเราจะทำ ผมมีแนวความคิดว่า เราจะบอกต้นทุนให้ท่านผู้ชมทราบทุกคน สมมุติว่าถ้วยกาแฟถ้วยนี้ ถ้าผลิตจำนวนเกินเท่านี้ ราคาถ้วยละเท่าไร เราจะขายเท่าไร ส่วนต่างมีเท่าไร ส่วนต่างตรงนี้ไม่ได้เข้ากระเป๋าพวกเราเลย ผมเสนอว่าผมจะเอาส่วนต่างตรงนี้ตั้งเอาไว้ตรงกลาง แล้วทุกๆ อาทิตย์ก็จะมีการอัปเดตว่า อาทิตย์ที่แล้วมีคนสั่งซื้อของมาแล้ว ยอดเงินหักต้นทุนแล้วส่วนต่างเหลือเท่าไร ก็จะสะสมเงินก้อนนี้ไปเรื่อยๆ ผมตั้งใจจะเอาเงินก้อนส่วนต่างนี้สะสมเพื่อเอาไปทำบุญทำกุศลในตอนปลายปี ในช่วงที่ทอดกฐิน เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้สืบทอดยั่งยืนตลอดไป โดยที่ทุกบาททุกสตางค์เราก็จะหักออกจากต้นทุนการผลิตของเรา และอาจจะมีรวมค่าส่งนิดหน่อย แต่ว่าเงินก้อนนี้จะตรวจสอบได้ตลอดเวลา เราจะโพสต์ลงในเพจของเรา "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ให้ท่านสามารถเช็กดูได้ว่าเงินมีอยู่เท่าไรแล้ว และเอาไปทำบุญที่ไหนบ้าง
ถ้าท่านผู้ชมเห็นด้วยกับวิธีการของผม ผมก็จะเริ่มผลิตของบางอย่างมา แต่วัตถุประสงค์ไม่ใช่เพื่อกำไร เพื่อเอาเงินส่วนต่างไปทำบุญอย่างเดียว ไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ ทั้งสิ้น
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ในขณะนี้ ไล่เป็นประเทศไปก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าประเทศจีนกำลังอยู่ในสภาวะที่กำลังฟื้นตัว และหลายประเทศในเอเชียก็ไม่ได้ร้ายแรงตามที่คิด เกาหลีใต้ที่ดูรุนแรงในตอนแรก เกาหลีใต้ตอนนี้ก็เริ่มมีผลที่ดีออกมาหลายอย่าง เช่น ที่ประเทศจีนเริ่มปิดโรงพยาบาลภาคสนามหลายๆ โรงแล้ว และประเทศจีนมีการคืบหน้าในเรื่องการรักษาและมีความสามารถในเรื่องการรักษาที่อาจจะพูดได้ว่าสูงที่สุดในโลกนี้ รู้เรื่องนี้ดีที่สุด
ปัญหาใหญ่ในขณะนี้กลับไม่ใช่ประเทศจีนแล้ว ปัญหาใหญ่กลับเป็นประเทศอิตาลี อิตาลีเป็นประเทศที่น่ากลัวที่สุดในขณะนี้ ในโลกนี้ เสียชีวิตไปแล้ว 6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงมาก เพราะธรรมดาแล้วโรคนี้การเสียชีวิตจะประมาณแค่ 2 เปอร์เซ็นต์กว่าเท่านั้นเอง อิหร่านก็ไล่ๆ อิตาลีมา แต่อิหร่านนั้นเสียชีวิตน้อยลง เกาหลีใต้ 7,000 กว่าราย เสียชีวิต 65 รักษาหายไป 247 ราย ก็ยังถือว่าน้อยอยู่
แต่สรุปแล้ว เต็มไปหมด ยุโรปเต็มไปหมด สิงคโปร์ที่น่าทึ่งก็คือว่า ติด 166 รายเท่านั้น แต่ว่าไม่มีคนเสียชีวิตเลย แต่ก็ยังรักษาหายแค่ 93 ราย 93 รายนี้ก็ยังประมาณสัก 55 หรือ 60 เปอร์เซ็นต์ มาเลเซียก็ไม่มีคนตาย ฮ่องกงมีคนตาย 3 คน ออสเตรเลียตาย 3 คน กรีซตาย 1 คน ประเทศไทยตาย 1 คน
โดยสรุปแล้ว ในพื้นภูมิภาคเอเชียค่อนข้างที่จะมีเสถียรภาพขึ้นมบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนต้องถือว่าใกล้จะหายแล้ว ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาในขณะนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ค่อนข้างที่จะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านผู้ชมสังเกตเวลาเขาออกโทรทัศน์ หน้าเขาจะหมองคล้ำ เหมือนกับมีกังวล มีหมอคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไทย เขาส่งเอกสารมาทางผม รายงานให้ทราบว่า จริงๆ แล้วอเมริกาน่าจะมีคนติดเชื้อมากเหลือเกิน แต่เนื่องจากไม่มีการรายงานว่าใครติดเชื้อบ้าง เพราะว่าองค์กร CDC ก็คือองค์กรควบคุมโรคระบาดของอเมริกา ตอนนี้ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ปิดเลย อาจจะเป็นเพราะว่า หนึ่ง เขาไม่รู้จะเอาตัวเลขมาจากไหน แต่ที่แน่ๆ อันนี้เขาเรียกว่ากรรมตามสนอง ท่านผู้ชมครับ สมัยที่จีนติดเชื้อใหม่ๆ นั้น CDC นี่ตัวการ รัฐบาลอเมริกันก็ตัวการ วุฒิสมาชิก สภาคองเกรส อย่างเช่นนายคอตตอน เป็นตัวการ พิธีกรโทรทัศน์หลายคนกล่าวโจมตีจีนว่าจีนไม่โปร่งใส จีนไม่ยอมเปิดเผยตัวเลข แต่จีนเขาก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้ปิด เขาเปิดเผยตัวเลขหมด แต่มาวันนี้อเมริกากลับปิดตัวเลข ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ ผมอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องแบบนี้อเมริกาทำมาตลอด
ในยุคปี 2540 ในยุคที่เศรษฐกิจต้มยำกุ้งเกิดขึ้น อเมริกาเข้ามา แล้วอเมริกาบอกไอเอ็มเอฟ เวิลด์แบงก์ เข้ามาช่วยประเทศไทย แต่มีเงื่อนไข ว่าห้ามรัฐบาลเข้าไปช่วยธุรกิจเอกชน ก็คือห้ามรัฐบาลเข้าไปค้ำประกันธุรกิจเอกชน ตอนนั้นธุรกิจเอกชนเป็นหนี้ธนาคารนอกประเทศอยู่จำนวนหนึ่ง เขาบอกว่าไม่ให้เข้าไปช่วย คือต้องให้ธุรกิจมันเจ๊ง เพราะเขาก็จะได้เข้ามาช้อนซื้อในราคาถูก และหลังจากนั้นพอผ่านมา ช่วงยุคที่วิกฤตเศรษฐกิจอเมริกาตกต่ำมาก น่าจะเป็นปี 2008 ประมาณนั้น ปรากฏว่าธุรกิจอเมริกาล้มละลายหมด AIA บริษัทประกันชีวิต เจเนรัล มอเตอร์ส ก็เจ๊ง ปรากฏว่าอเมริกาเข้าไปหนุนบริษัทต่างๆ เหล่านี้ ทำตรงกันข้ามกับที่ตัวเองเคยห้ามไม่ให้คนทางเอเชียทำ เพราะฉะนั้นในกรณีโควิด-19 ก็เช่นกัน พอจีนเป็นปั๊บ ทุกคนถล่มจีนหมด เพราะว่าเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หวังว่าการถล่มจีนแล้วจะทำให้จีนอ่อนแอ แต่วันนี้ตัวเองโดนด้วยตัวเอง และเชื่อผมสิครับท่านผู้ชม อเมริกาจะมีปัญหาระยะยาวในขณะนี้ แน่นอนที่สุด เพราะทำไม สังคมอเมริกาเป็นสังคมเปิด ความเป็นประชาธิปไตยของเขาสูงสุด เขามีสิทธิเสรีภาพที่จะพูดเรื่องอะไรก็ได้ ไม่เห็นด้วยเรื่องอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ความเป็นปัจเจกบุคคลของอเมริการค่อนข้างสูง เมื่อค่อนข้างสูงแล้ว การที่จะสั่งปิดให้อยู่กับบ้าน ให้ทำโน่นทำนี่ คนอเมริกาไม่ค่อยฟังกัน และคนยุโรปก็ไม่ค่อยฟังด้วย ซึ่งเดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องอิตาลีให้ฟัง
ล่าสุด ท่านผู้ชมครับ ทรัมป์สั่งประกาศห้ามประชาชนทางยุโรปเดินทางมาแล้ว แสดงว่าอะไรท่านผู้ชม แสดงว่าเรื่องราวมันเข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้ว และที่ลึกลับที่สุด ท่านผู้ชมครับ ไม่มีใครรู้ หมอคนไทยที่อยู่อเมริกาส่งข้อมูลมาให้ผม ข้อเท็จจริงก็คือว่า ชุดตรวจโรคของอเมริกามีไม่พอ ไม่มีครับ เพราะฉะนั้นแล้วอเมริกาไม่มีสิทธิจะตรวจได้เลยว่าใครติดบ้าง ใครไม่ติดบ้าง อเมริกาบอกได้อย่างเดียวว่า เมื่อใดก็ตามถ้าท่านรู้สึกไอแห้งๆ ท่านเจ็บหน้าอก ท่านมีอาการแบบนี้ ให้ท่านอยู่กับบ้านเลย ไม่ให้ท่านไปไหน จนกระทั่งท่านรับไม่ไหวจริงๆ แล้ว ท่านจะตายแล้ว ท่านถึงจะมาที่โรงพยาบาล เขาบอกว่าจากสูตรพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งคำนวณ ว่าในซีแอตเทิลอย่างเดียวน่าจะมีคนติดประมาณ 50,000-60,000 คนแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วผมจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าเขามีชุดตรวจที่มีมากพอ อเมริกาจะมียอดคนติดมากกว่าจีนในที่สุด ท่านผู้ชมเชื่อผมสิครับ แน่นอน เพราะทำไมรู้ไหม เพราะว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าใครติดบ้าง รู้แต่ว่าเดี๋ยวคนนั้นติดคนนี้ติด นั่นก็คือคนที่ติดแล้วไปไม่รอด ต้องออกมา ไปโรงพยาบาล เขาบอกว่า Nursing Home หรือบ้านพักคนชรา ตายกันเป็นเบือเลยท่านผู้ชม
ตายกันเป็นเบือจนกระทั่งต้องสั่งห้ามไม่ให้ญาติเข้าไปเยี่ยม นี่ลำพังแค่จุดบางจุดเท่านั้นนะ แต่หลายๆ เมือง ไม่ว่าจะเป็นวอชิงตัน ดี.ซี. ไม่ว่าจะเป็นรัฐวอชิงตัน เมืองซีแอตเทิล เมืองโน้นเมืองนี้ เริ่มติดเริ่มกระจาย และอเมริกาเป็นประเทศที่การเดินทางตลอดเวลา นั่งเครื่องบินไป จากลอสแองเจลิสไปนิวยอร์ก จากบอสตันมาซานฟรานซิสโก ตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุด การคัดกรองของอเมริกานั้น ยังสู้เมืองไทยไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเขาไม่มีวันที่จะคัดกรองเป็นชั้นๆ เมืองไทยตอนนี้คัดกรองประมาณ 3 ชั้น ประเทศจีนคัดกรอง ท่านผู้ชมก็เห็นแล้ว เคยฟังข่าวใช่ไหม การบินไทยที่มีเรื่องมีราว ไฟลต์ที่ไปเซี่ยงไฮ้ เพราะว่าเครื่องบินจอดแล้ว ผู้โดยสารทุกคนต้องนั่งอยู่ในเครื่อง รอเจ้าหน้าที่คัดกรองแต่ละเครื่องให้เรียบร้อยหมด ถึงจะมาถึงการบินไทยได้ รออยู่ 7 ชั่วโมง ผู้หญิงจีนรับไม่ไหว ลุกขึ้นมาอาละวาด แอร์เข้าไปห้าม แกก็ไอใส่หน้าแอร์ ลูกเรือก็เลยต้องกลับไปล็อก
เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นว่าจีนเข้มงวดมากในเรื่องนี้ และ ณ วันนี้ จีนมีอุปกรณ์ชุดป้องกัน
อุปกรณ์ชุดป้องกันคืออะไร คือ ท่านผู้ชมเห็นหมอไหมครับ หมอ ที่ใส่ชุดยาว ทั้งชุดขาว และมีหน้ากาก เหมือนกับมนุษย์อวกาศ กึ่งๆ มนุษย์อวกาศ ขาดอยู่อย่างเดียว ไม่มีกล่องออกซิเจนข้างหลังเท่านั้นเอง ชุดพวกนี้อเมริกามีน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ชุดทดสอบว่าเป็นไข้โควิด-19 ก็มีไม่พอ อะไรก็มีไม่พอทั้งสิ้น เพราะอเมริกาไม่เคยตั้งรับ เพราะเขาคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ถึงอเมริกา แต่ไปถึงอเมริกาได้อย่างไร ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าผมเคยเล่าอะไรให้ฟัง ผมเคยบอกว่าวันที่อู่ฮั่นประกาศว่ามีคนติดเชื้อโควิด-19 สิ่งแรกในโลกที่เขาทำกันก็คือ อเมริการีบส่งเครื่องบินมารับคนของตัวเองออกจากอู่ฮั่น ออกไปหมดเลย ทางสถานทูตทุกคน อเมริกา ออกไปหมดเลย ทำให้โลกแตกตื่นกันหมด ทั้งโลกก็บอกว่าคุณรู้อะไรที่ผมไม่รู้บ้าง
ญี่ปุ่นก็เลยส่งเครื่องบินมารับ ด้วยเหตุนี้ อเมริกาไม่มีการคัดกรอง ไม่มีการนั่งรออีกสัก 14 วัน จนกระทั่งให้คนที่อยู่ในสถานทูตอเมริกาดูซิว่าใครบ้างติดเชื้อ ไม่มี เอาขึ้นไปเลย เพราะฉะนั้นคนที่ติดเชื้อก็ผสมกับคนที่ไม่ติดเชื้อ ก็นั่งเครื่องบินไปอเมริกา แล้วพอลงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่ได้ทำการคัดกรองอย่างจริงจัง ไม่ได้มีการกักตัว 14 วัน พวกนี้ก็กลับบ้านกลับช่อง แล้วในที่สุดอเมริกาก็เลยได้รับผลกรรมนี้ไปเลย
ตอนแรกๆ ก็ประกาศ ด่าจีนเละเทะหมด คองเกรสแมน วุฒิสภา สภาคองเกรส ออกมาด่าจีน นายคอตตอน พิธีกรในรายการทีวีต่างๆ เยาะเย้ยจีนว่าจีนกำลังแย่ นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า ดีเสียอีกที่ตอนนี้จีนเจอโควิด-19 จะทำให้คนอเมริกันมีงานทำมากขึ้น คือเป็นการเหยียดชาติพันธุ์อย่างชัดเจน แล้ววันนี้อเมริกาโดนกับตัวเอง หลักธรรมไม่มีผิด ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว เพราะฉะนั้นแล้วหลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนเดิม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ท่านผู้ชมครับ ผมมีคลิปบางคลิปซึ่งท่านผู้ชมคงได้ดูแล้ว คนฝรั่งในอเมริกาจะตื่นตระหนกตกใจมากกว่าคนไทยเยอะ พอรู้ว่ามีคนตายคนหนึ่งปั๊บ วันนั้นตลาดหุ้นตกหมด ตอนนี้คนตายเพิ่มขึ้นๆๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้เริ่มมีการตระหนกตกใจในเรื่องการไล่เก็บของ ซื้อของในตลาด อย่างเช่น ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายส่ง อย่างเช่นคอสโก้ คล้ายๆ แมคโครของเรา หรือเทสโก้ โลตัส ปรากฏว่าเปิดฉากออกมาทีไร ทุกวันมีแต่คนเข็นรถเข็นไปแล้วขนของ มีกระดาษชำระ มีกระดาษเช็ดปาก มีเครื่องอุปโภคบริโภค ซื้อกลับไปตุนจนกระทั่งของในคอสโก้ทุกแห่งแทบจะไม่มีเหลือเลย นี่คือความตื่นตระหนก
อิตาลีล่ะ เป็นอย่างไร ที่ผมบอกว่าผมกังวลกับอิตาลีมากๆ เพราะว่าอิตาลีในที่สุดแล้ว ขนาดอิตาลีเป็นประเทศที่ปัจเจกนิยมสูงมาก ท่านผู้ชมที่เคยไปโรม หรือไปมิลาน หรือเคยไปฟลอเรนซ์ หรือเคยไปเวนิส หรือเคยไปอิตาลี คนอิตาลีจะมีการแสดงออกเป็นการส่วนตัว มีอัตตาในตัวเองสูงมาก มีความรู้สึกว่าโลกทั้งโลกหมุนรอบตัวเอง ฉะนั้นคนอิตาลีจะเห็นว่าเวลาเราเดินไปในถนนอิตาลีที่ในโรม เวลารถติด หรือรถชนกัน มันจะลงมาจากรถแล้วจะด่ากัน ชี้กัน ให้แขนกัน นี่คือลักษณะของคนอิตาลี เพราะฉะนั้นถ้าคนอิตาลีถูกกักเอาไว้ในบ้าน หรือไม่ให้ไปที่ใดที่หนึ่ง จะมีคนที่ต่อต้านเยอะ ซึ่งตามข่าวก็มีออกมาแล้วว่ามีคนเริ่มออกมาต่อต้าน คือพวกนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ก็คือไม่รู้ว่าขนาดไหน แต่รัฐบาลอิตาลี และหมออิตาลี รู้อยู่แล้วว่าคนติดเชื้อ 10,000 กว่าคนเล็กๆ ตายไปแล้ว 600 กว่าคน ท่านผู้ชม 6 เปอร์เซ็นต์กว่า และที่สำคัญที่สุด ท่านผู้ชม อิตาลี บุคลากรทางการแพทย์น้อย น้อยมาก ไม่มากเหมือนจีนหรือประเทศอื่น
คือพูดง่ายๆ ว่าทางยุโรป และอเมริกา ไม่ได้เตรียมตั้งรับ ไม่ได้เตรียมตั้งรับเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ท่านผู้ชม ในยุโรป หรือในอเมริกา การใส่หน้ากากปิดหน้าแปลว่าคุณต้องไม่สบาย เมื่อคุณไม่สบาย คุณอย่าออกมานอกบ้าน เพราะฉะนั้นแล้วคนก็เลยไม่ใส่หน้ากากกัน เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมหน้ากากปิดหน้าที่เขาเรียกว่า mask มันก็เลยไม่มาก ไม่เหมือนทางเอเชีย
ทางเอเชียเราเจอฝุ่น PM 2.5 อยู่แล้ว และเราถูกสั่งถูกสอนว่าเวลาออกนอกบ้านถ้าไอ เป็นไข้หวัด ให้ปิดหน้าตลอดเวลา เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้คนไทยหรือคนเอเชีย เวลาไปทางยุโรป ถ้าใส่หน้ากากปิดหน้า จะโดนรังเกียจ เพราะเขาจะบอกว่า ถ้าคุณไม่สบายคุณออกมาทำไม ด้วยเหตุนี้การแพร่กระจายของโควิด-19 ในยุโรปก็เลยค่อนข้างจะเร็วและรุนแรงพอสมควร ฉะนั้นผมก็เลยเป็นห่วงว่าอิตาลีจะมีปัญหา
ท่านผู้ชม ก่อนจะจบเรื่องนี้ โดยทั่วไปแล้ว คนที่ได้เปรียบที่สุดคือประเทศจีน ณ วันนี้ ประเทศจีนอยู่ในสภาพขาขึ้น เพราะดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดส่วนใหญ่ได้แล้ว ควบคุมได้ และที่สำคัญที่สุด วัดจากการที่ท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ไปเยือนอู่ฮั่น การที่ประธานาธิบดีของประเทศไปเยือนแหล่งที่เป็นศูนย์รวมของการแพร่เชื้อได้ แสดงว่าเขาเอาอยู่แล้ว และอีกประการหนึ่ง ตัวเลขของยอดผู้ติดเชื้อใหม่นั้น มีแค่ 2 หลักเท่านั้นเอง หลักสิบ จากประชากร 1,400 ล้านคน คนติดเชื้อใหม่มีแค่หลักสิบ และผู้ติดเชื้อ 70,000-80,000 คนนั้น กลับไปบ้าแล้วประมาณ 50,000-60,000 คน สถิติการตายของผู้ติดเชื้อในประเทศจีนเกือบจะไม่มีการตายเกิดขึ้นเลย เพราะฉะนั้นแล้วต้องถือว่าประเทศจีนเขาได้พ้นช่วงวิกฤตไปเรียบร้อยแล้ว และเขากำลังค่อยๆ ฟื้นตัวไป ท่านผู้ชมคงได้ข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่ง แต่มีความหมายมาก คือดิสนีย์แลนด์ที่เซี่ยงไฮ้เริ่มเปิดให้คนไปเที่ยวแล้ว ถึงแม้จะยังไม่เปิดทั้งหมด แต่เปิดเป็นบางจุด การที่เขากล้าที่จะเปิดดิสนีย์แลนด์ แสดงว่าเขามีความมั่นใจแล้วว่าตอนนี้เป็นอย่างไร และมีข่าวว่า จากนี้ไปการคมนาคม ที่เขาเคยปิดมณฑลหูเป่ยทั้งมณฑลเลย แล้วอู่ฮั่นอยู่ตรงกลาง เขาจะเริ่มเปิดให้คนเดินทางไปหากัน แต่ว่าประเทศจีน บทเรียนนี้เขาเรียนรู้เยอะ เพราะฉะนั้นแล้ว ประเทศจีนจากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่เหมือนในอดีตแล้ว
โควิด-19 ท่านผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ได้ชี้แจงมาแล้วว่าเป็นโรคระบาดของโลกแล้ว เขาเรียกว่า World Pandemic ฉะนั้นจากการประกาศขององค์การอนามัยโลกเมื่อวาน โดยนัยของโรคระบาดของโลก ถ้าเรามองดูทิศทางโลกแล้ว จะเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จากนี้ไป จนกระทั่งหลังจากโรคระบาดสามารถถูกกำจัดไปหมดสิ้น ท่านผู้ชมครับ เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีรักษาสุขภาพ พฤติกรรมการใช้ชีวิต การเลือกรับประทานอาหารจะมีความพิถีพิถันมากขึ้นและจะมีคุณภาพมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล ในจำนวนน้อยกับจำนวนน้อย รวมทั้งการใช้ชีวิตในการร่วมกิจกรรมกับคนจำนวนมาก จนกระทั่งถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศ ซึ่งจะนำพาให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ที่น่าสนใจก็คือบทบาทของโลก บทบาทของการครอบงำของสหรัฐฯ จะเริ่มหมดสิ้นไป จากนี้ไป เพราะหลังจากที่โควิด-19 ถ้ามีการระบาดในอเมริกา อเมริกาจะอ่อนแอมาก ขนาดที่นายทรัมป์ยังออกประกาศเลยว่า คนที่ได้เงินเดือนแล้วโดนหักภาษี เขาไม่หักแล้ว จนถึงสิ้นปี แสดงว่าเขาไม่ไหวจริงๆ เพราะว่าคนอเมริกันค่อนข้างจะเห็นแก่เงิน รัฐบาลอเมริกันค่อนข้างจะเห็นแก่เงิน แสดงว่าเขาต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะให้ประเทศเขาเดินหน้าต่อไปได้
ที่น่าสนใจคือ ประเทศจีนจะหลุดพ้นออกจากภัยพิบัตินี้ในที่สุด และจะเจริญเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากกว่าเก่า เพราะว่าความร่วมมือร่วมใจของคนทั้งประเทศ หรืออีกนัยหนึ่งว่า โลกหลังจากโควิด-19 จะเปลี่ยนไปมากมายในหลายๆ มิติ และบางมิติเราก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้น ท่านผู้ชมคอยดูก็แล้วกันนะครับ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมทำนายทายทักครั้งนี้จะไม่ผิดพลาดอะไรมากมายนัก
เผอิญผมมีเวลาไม่มากนัก เพราะว่าเรากำลังจะพูดในเรื่องของหน้ากากอนามัยหายไป แต่ผมทิ้งช่วงไว้นิดหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ หลังโควิด-19 จีนจะกลายเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ ชำนาญการ ในเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ ท่านผู้ชมครับ ผมได้ศึกษาและได้เห็นข้อมูลต่างๆ ว่าจีนได้คิดค้นอะไรใหม่บ้างในช่วงโรคโควิด-19 นี้ ท่านผู้ชม ผมเห็นตัวอย่างหนึ่งผมยังงงเลย
เขามีอุปกรณ์อันหนึ่งที่ใส่ไว้ในลิฟต์ ก็คือว่า ท่านผู้ชมไม่ต้องเอามือไปถูกปุ่มเลย มันเป็นปุ่มไร้สาย เป็น wireless button คุณกดปุ๊บ มันก็ทำหน้าที่ นี่คือการป้องกันเชื้อโรค และมีอีกหลายอย่าง หลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งวันหลังผมจะรวบรวมเรื่องนี้หลังจากที่เหตุการณ์มันสงบลงมา แล้วอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
ท่านผู้ชมครับ ก็เอาเป็นเรื่องโควิด-19 อย่างน้อยที่สุดท่านผู้ชมก็ได้รับทราบ ส่วนของประเทศไทยนั้น ผมก็เชื่อว่าคงจะมีคนติดเชื้อเพิ่ม แต่ผมมั่นใจว่าปริมาณที่ติดเชื้อเพิ่มไม่มาก และผมเชื่อว่าการรักษาในเรื่องของโควิด-19 นั้น ไทยเราได้ประสานงานกับประเทศจีนมาตลอด ฉะนั้นเมื่อประสานงานกับประเทศจีนมาตลอดแล้ว เราจะรู้วิธีรักษาหลายๆ แบบ ประเทศจีนรักษาด้วยยาสมุนไพรก็มี ประเทศจีนรักษาด้วยการเอาเลือด เขาเรียกว่า Blood Plasma เอาเลือดของคนที่หายแล้ว เอามาฉีดกลับให้คนที่ยังไม่หาย แล้วก็รักษาได้ด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว วิธีการหลายวิธีการที่จีนทำมาจากการที่เขามีคนติดเชื้ออยู่ 80,000-90,000 คน เขาได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ หลายๆ อย่าง แน่นอนที่สุด เป็นที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากคนที่ตายแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ของเขาที่เสียสละ ก็ตายไปด้วยหลายคนเช่นกัน ท่านผู้ชมครับ วันนี้ไม่มีคำว่าจีน ไทย อเมริกา เพราะว่าโควิด-19 เป็นเรื่องของโลก เป็นโรคที่เป็นเรื่องของโลก ไม่มีใครพ้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว ทุกคนจะต้องเข้ามาจับมือ ร่วมมือกัน และผมหวังว่าผ่านวิกฤตนี้ไปแล้ว สหรัฐอเมริกาซึ่งเคยยะโสโอหังมาก อาจจะเปลี่ยนนิสัยเป็นพฤติกรรมที่เข้ากับชาวบ้านเขาได้ดีมากขึ้น ให้เกียรติชาวบ้านเขา ไม่ดูถูกเหยียดหยามชาวบ้านเขา ไม่รังเกียจชาติพันธุ์ของเขา เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่าโควิด-19 หลังจากวิกฤตนี้ผ่านไป ก็อาจจะมีมิติที่ดีๆ หลายมิติที่จะเกิดขึ้น ท่านผู้ชมครับ
เอาล่ะ เรามาพูดถึงเรื่องที่เราตั้งใจจะพูดกันวันนี้ หน้ากากหายไปไหน ท่านผู้ชม หน้ากากหายไปไหน ก่อนที่ผมจะพูดเรื่องนี้ ผมจะอธิบายเรื่องหลัก อุปทาน อุปสงค์ก่อน ดีมานด์ กับซัพพลาย ดีมานด์คืออุปสงค์ ซัพพลายคืออุปทาน หลักการเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ ท่านผู้ชมไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หลักเศรษฐศาสตร์เลยแม้แต่นิดเดียว แม่ค้าก็รู้ แม่ค้าคนหนึ่งขายกล้วยทอดอยู่ มีอยู่เจ้าเดียวบนถนนนี้ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่รู้ มีอยู่เจ้าเดียว มีคนมาซื้อ แม่ค้าก็เห็นว่ามีแต่คนชอบกินกล้วยทอดของแก แกขายถุงละ 10 บาท คนซื้อไปก็บ่นไป มีไม่กี่ชิ้น 10 บาท อีกสักพักหนึ่ง อีกเดือนหนึ่งมีแม่ค้าอีกรายหนึ่งมาวางขาย ลดเหลือ 8 บาท คนก็เทไปซื้อ 8 บาท แม่ค้าที่ขาย 10 ก็ต้องลดเหลือ 8 บาท อีกสักพักหนึ่งก็มีคนมาวางขายอีก ขาย 6 บาท คนที่ขาย 8 บาท ก็ต้องลดลง 6 คนที่ขาย 10 ลดไป 8 แล้ว ก็ต้องลดเหลือ 6 นี่เรียกว่า ดีมานด์-ซัพพลาย ความต้องการมีแค่ไหน ถ้ามีของเยอะกว่าความต้องการ ราคาก็จะตกลง
ท่านผู้ชมจำคำพูดผมวันนี้ไว้นะ ข้อผิดพลาดของหน้ากากอนามัยที่มีมาตั้งแต่ต้น เพราะว่าไม่ได้ใช้หลักการตลาด แล้วประเทศไทยเป็นอย่างนี้ทุกที ท่านผู้ชมจำคำพูดผมไว้นะ เมื่อใดก็ตามที่กรมการค้าภายในเริ่มเอาสินค้าบางประเภทกลายเป็นสินค้าควบคุม เมื่อนั้นของจะหายจากตลาดหมด ทำไมของหายจากตลาด เพราะว่ามันมีช่องทางที่จะไปเข้าตลาดมืดและขายได้กำไรมากกว่า และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหน้ากากอนามัย แต่การเกิดขึ้นกับหน้ากากอนามัยที่หายครั้งนี้มันค่อนข้างจะทุเรศ มันไม่สลับซับซ้อนแต่มันค่อนข้างจะทุเรศ แล้วตามผมมา ผมจะเอาหลักฐาน วัน ว. เวลา น. ที่เกิดให้ดู แล้วคิดตามผมไป แล้วท่านผู้ชมจะรู้เลยว่าใครแฮปไปบ้าง นี่ผมพูดภาษาวัยรุ่นนะ ใครมันแฮปไปบ้าง แล้วใครมันระยำตำบอน ทำมาหากินอยู่บนความพินาศฉิบหายของชีวิตคน มีหมดท่านผู้ชม พ่อค้า นายหน้าขายของ คนใกล้ชิดนักการเมือง ท่านผู้ชมคงคิดว่าเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ท่านผู้ชมตามผมมาแล้วท่านผู้ชมจะเห็นด้วยกับผม ผมจะบอกอะไรอย่าง ผมจะอุปมาอุปไมยให้ฟัง
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผมไม่สนใจหรอกเขามีอะไรก็ตาม ผมคิดว่าถ้าผมเอาความจริงนี้มาตีพิมพ์เล่าให้ฟังแล้ว อุปมาอุปไมยเหมือนธรรมนัส พรหมเผ่า นั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบหน้าบ้าน ระหว่างนั่ง กินกาแฟ สูบบุหรี่ชิลๆ อากาศเย็นๆ ไม่รู้ว่าใครเอาผ้าอนามัยห่อก้อนหินแล้วขว้างกบาลของเขา โป้ง! ตกจากเก้าอี้ผ้าใบ ลุกขึ้นมายังไม่ทันจะดูเลยว่าใครขว้าง มาอีก 10-20 ก้อน ใส่จนหัวแตก ธรรมนัสก็ตะโกนออกมาว่า เฮ้ย ผมผิดตรงไหน ผมทำอะไร สรุปง่ายๆ คือเขาไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรไป เพราะว่าจู่ๆ มันเกิดกระบวนการหนึ่ง แล้วเผอิญมันไปโยงกับคนของเขา ซึ่งเขาก็ไม่รู้เรื่องๆ นี้ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเป็นขั้นๆ แต่ว่าก่อนที่จะไปเรื่องนั้น เรามาไล่ วัน ว. เวลา น. หน่อย วันที่สำคัญมาก ตามผมมาครับ
22 มกราคม 2563 หรือประมาณเดือนกว่าๆ เกือบสองเดือน ประเทศไทยเพิ่งค้นพบคนติดเชื้อโควิด-19 ไม่มาก 2-3 คนเอง
25 มกราคม หลังจาก 22 มกราคม ประกาศว่าค้นพบ 25 มกราคม คนตื่นตระหนกเลย ก็เลยมีการอยากใช้หน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้น เหตุผลก็เพราะว่าในขณะนั้นเรากำลังเผชิญกับฝุ่น PM 2.5 อยู่แล้ว และคนก็พยายามหาหน้ากากอนามัยเพื่อใช้กันฝุ่น ซึ่ง ณ เวลานั้นปัญหาไม่ค่อยมี หน้ากากอนามัยมีหลายแบบ บางอันขาย 5 บาท บางอันเท่หน่อย สวยหน่อย ก็ขายแพง เหมือนอย่างของผมนี่นะ เขาให้มา ของ 3M มีที่หายใจตรงนี้ ผมเข้าใจว่าอันนี้ก็หลายสิบบาท เผลอๆ อาจจะ 120 บาท ก็สุดแล้วแต่ความต้องการของคนและกำลังซื้อที่จะมี แต่เอาเป็นว่า พอมีโควิด-19 วันที่ 22 มกราคม เกิดขึ้น คนก็ตื่นตระหนกทันที จากการที่ต้องการซื้อหน้ากากอนามัยมาป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 ก็เลยต้องการป้องกันโควิด-19 ทำให้ของเริ่มไม่มี
29 มกราคม ท่านผู้ชมจำไว้นะครับ 29 มกราคม ท่านผู้ชมจำวันนี้ให้ดีๆ 29 มกราคม เดี๋ยวผมจะดูนิดหนึ่ง ผมไม่รู้ว่า 29 มกราคม เป็นวันอะไร เดี๋ยวให้ทีมงานเช็กดู กรมการค้าภายในเชิญผู้ผลิตหน้ากากอนามัยรายใหญ่ 11 ราย มาประชุมกัน และในที่ประชุมเขามีการยืนยัน ยืนยันจากรายงานการประชุม (29 มกราคม คือวันพุธ) จากรายงานการประชุมว่า เรามีสตอกอยู่ในโกดังทั้งหมด 200 ล้านชิ้น จำตัวเลขดีๆ นะท่านผู้ชม และเขายืนยันว่า 200 ล้านชิ้นนี้ มีพอใช้ไป 4-5 เดือน หมายความว่า ในสตอก 200 ล้านชิ้นนี้ สามารถใช้ไปโดยที่ไม่ต้องผลิตขึ้นมาใหม่เลยนะ ใช้ไปได้จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม สบายๆ ชิลๆ (ขออนุญาตใช้คำศัพท์ของวัยรุ่นหน่อย) ทีนี้ถ้าเป็นไปตามคำรายงานของกรมการค้าภายในแล้ว ผมต้องเชื่อนะ เพราะเขาเป็นผู้ที่ดูแลเรื่องพวกนี้อยู่ เขาควบคุมดี หน้ากาก 200 ล้านชิ้น ใช้ได้จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม โดยที่ไม่ต้องผลิตอะไรเพิ่มเติมอีกเลย
วันที่ 30 มกราคม วันพฤหัสฯ คือวันรุ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงออกด้วยการใส่ใจในเรื่องนี้ ไปตรวจโรงงาน ไปเจอเจ้าของโรงงาน ไปเจอผู้จัดการฝ่ายผลิต ก็ได้รับการยืนยันจากโรงงานเช่นกันว่ามีทั้งหมด 200 ล้านชิ้น คือท่านรัฐมนตรีท่านคงไม่ได้ไป ไหนคุณมีเท่าไร กี่ชิ้น ไหนผมขอดูโกดังของคุณหน่อยซิ คุณเปิดโกดังมา งานนี้ไม่ใช่งานจำนำข้าวที่ต้องไปดูว่ามีข้าวเก่า ข้าวใหม่แค่ไหน และต้องเอาเหล็กแหลมไปเสียบกระสอบข้าว มีข้าวลงมาก็เอามาใส่มือแล้วดูว่าข้าวเสียหรือไม่เสีย เอาล่ะ ถ้าคุณบอกมีครบ 200 ล้านชิ้น ก็ดี แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม ประชาชนหาซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้เลย หรือถ้าซื้อก็ราคาแพงกว่าจริง ประมาณ 15-20 บาท
ท่านผู้ชมหลับตาวาดภาพตามผมมา ถ้ากระทรวงพาณิชย์ซื้อจากโรงงาน โรงงานต้องขายกระทรวงพาณิชย์ 2.50 บาท แล้วประชาชนซื้อ 15-20 บาท ผมคิดง่ายๆ แล้วกัน แฟร์ๆ 15 บาท แสดงว่าส่วนต่าง 17.50 บาท มันอยู่ที่ไหนบ้าง มันก็ต้องอยู่ที่ร้านค้าที่มันขาย 15 บาท มันก็ต้องอยู่ที่คนที่เอาของมาส่ง และก็ต้องอยู่ที่คนที่เป็นนายหน้า และในที่สุดมันก็ต้องตกลงมาอยู่ที่โรงงาน เพราะโรงงานเคยขายได้ 2.50 บาท กับกระทรวงพาณิชย์ แต่ถ้าขายในตลาดมืด อาจจะขายได้ 5 หรือ 6 บาท คนที่รับไป 5-6 บาท ก็ไปบวกอีก 5 บาท เป็น 11 บาท ส่งเข้าไปตามร้าน ร้านขาย 15 หรือ 20 บาท คือกำไรเป็นทอดๆ ไม่ผิด แต่มันผิดตรงไหนรู้ไหม มันผิดตรงที่ว่า กระทรวงพาณิชย์ดันทะลึ่งมาบอกประชาชน โดยผ่านกรมการค้าภายใน ว่ามีหน้ากากอยู่ 200 ล้านชิ้น อยู่ใช้ได้ 4-5 เดือน แล้ววันหนึ่งประชาชนคนไทยที่เสียภาษีตื่นขึ้นมา แล้วก็บอกว่า ลูก ไปซื้อหน้ากากอนามัยหน่อยซิ พอเดินไปที่ร้าน ร้านอาจจะไม่มี ถ้าร้านที่มีบอกว่า 20 บาทครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีกัน ซึ่งไม่รู้ว่าหายไปไหน
เอาล่ะ ก็มาพฤหัสฯ ที่ 30 ศุกร์ที่ 31 เสาร์ที่ 1 อาทิตย์ที่ 2 วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 6 วันแล้วนะ ท่านผู้ชมต้องจำวันให้ดีๆ ผมทวนอีกที 29 เขาเชิญผู้ผลิตมา แล้วมายืนยันว่ามีของในสตอก 200 ล้านชิ้น 30 รัฐมนตรีว่าการกระทรวพาณิชย์ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ไปเยือนโรงงาน เจ้าของโรงงานต่างยืนยันว่ามี 200 ล้านชิ้น วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 6 วัน หลังจากรัฐมนตรีไปตรวจสตอกได้ 4 วัน ก็มีการประกาศให้หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และวัตถุดิบสำหรับผลิตหน้ากากอนามัย เป็นสินค้าควบคุม เมื่อเป็นสินค้าควบคุมแล้ว วันที่ 4 ก็คือวันอังคารที่ 4 ก็มีประกาศราชกิจจานุเบกษาออกมาว่า ให้หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ วัตถุดิบสำหรับผลิตหน้ากากอนามัย เป็นสินค้าควบคุม ห้ามส่งออก ยกเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมการค้าภายใน มีข้อยกเว้นนะครับ เท่ากับว่า ถ้าอธิบดีกรมการค้าภายในท่านเห็นว่าอะไรส่งออกได้ ท่านก็เซ็นให้ส่งออกได้
เอาล่ะ ท่านผู้ชมตามผมมา คำถามมีอยู่ว่า 200 ล้านชิ้นที่กระทรวงพาณิชย์รับทราบมา ไม่ได้ถือว่าเป็นสตอกได้อย่างไร แสดงว่าสตอก 200 ล้านชิ้น อาจจะมีอยู่ พอบอกเป็นสินค้าควบคุมแล้ว มันก็หายไปเลย จาก 200 ล้านชิ้น ผู้ผลิตบอกตอนนี้มีอยู่ในสตอก 5 แสนชิ้น
29-30-31-1-2-3-4 6-7 วันนี้ของหายไป 199.5 ล้านชิ้น เพราะเหลืออยู่ 5 แสนชิ้น ท่านผู้ชมมันหายไปได้อย่างไร มันหายไปเพราะอย่างนี้ การประกาศควบคุมสินค้าที่จะเข้ามาในโรงงาน เข้ามาในกรมควบคุมฯ มันไม่ได้ต่างจากการประกาศลดค่าเงินบาท ท่านผู้ชมครับ เวลาเขาลดค่าเงินบาท เขาไม่บอกล่วงหน้า พอเขาประกาศปั๊บ เงินบาทลดทันทีเลย เงินบาทที่เคยแลกเปลี่ยนไป 25 บาท ต้องแลกเปลี่ยนในราคาที่ 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ทันทีเลยวันรุ่งขึ้น แต่ว่าทางกระทรวงพาณิชย์ประกาศออกมาแล้วก็มีราชกิจจาฯ ออกมาวันที่ 4 แปลว่าอะไร แปลว่าตั้งแต่ 29-30-31-1-2-3 ต้องมีการรับรู้กันอยู่แล้วในกระทรวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคณะทำงานและท่านรัฐมนตรีต้องรู้เรื่องนี้ คนที่อยู่ใกล้ชิดรัฐมนตรีก็ต้องรู้เรื่องนี้ อธิบดีกรมการค้าภายในก็ต้องรู้เรื่องนี้ ว่าเราจะประกาศแล้วนะ เราส่งเรื่องไปสำนักนายกฯ แล้ว สำนักนายกฯ จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วนะว่าหน้ากากอนามัยและเจลพวกนี้จะต้องถูกควบคุม 29-30-31-1-2-3 เอาล่ะ 6 วัน ท่านผู้ชมคิดเหมือนผมคิดไหม ว่ามันต้องมีคนบางคนที่ได้ยินเรื่องนี้ และคนบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ตัดสินใจ
เอาล่ะ ผมมองท่านรัฐมนตรีในแง่ของความโปร่งใสก็แล้วกัน ผมไม่ติดใจท่านล่ะ แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคนใกล้ตัวท่าน อ๋อ แน่นอน ผมพูดมาอย่างนี้ ทุกคนออกมารุมกระทืบผมแน่ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่เป็นที่ปรึกษาท่านรัฐมนตรีฯ ว่าไม่มีแน่ คุณสนธิมโน แต่ข้อเท็จจริงมันมีอยู่ว่า มีความเป็นไปได้ใช่ไหมว่าเมื่อเขาจะประกาศควบคุมหน้ากากอนามัย พวกคุณอาจจะมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ แล้วท่านผู้ชมเชื่อผมสิ กระทรวงพาณิชย์ไม่มีจุดไหนที่พ่อค้าเข้าไม่ถึงหรอก เข้าถึงหมดทุกคน บางคนเข้าบนโต๊ะ บางคนเข้าใต้โต๊ะ บางคนลอดใต้โต๊ะ บางคนแอบจับมือกัน บางคนแอบส่งของกัน เพราะว่าที่ไหนก็ตามในประเทศไทย หรือประเทศไหน ถ้าเริ่มมีโควตา เริ่มมีการควบคุม ที่นั้นคือแหล่งทำเงิน ทำมาหากินของข้าราชการบางคนและนักการเมืองบางคนอยู่แล้ว ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ ท่านผู้ชมที่อายุมากพอสมควร จำวันที่น้ำมันปาล์มขาดตลาดได้ไหม ภายใต้การบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน
สิ่งแรกคือทำให้น้ำมันปาล์มขาดตลาดก่อน ให้คนโหยหาน้ำมันปาล์ม ร่ำร้องกัน แล้วให้ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มเอาน้ำมันปาล์มใส่ถุงพลาสติกขายในราคา 60-70-80 บาท เพราะในประกาศบอกว่าน้ำมันปาล์มห้ามขายเกินขวดละ 47 บาท แต่ว่าในประกาศระบุเฉพาะขวด ไม่ได้รวมถึงถุงพลาสติก ฉะนั้นในถุงพลาสติกก็อาจจะขาย 80 บาทได้ โดยเพิ่มจำนวนน้ำมันปาล์มเข้าไปนิดหน่อย แล้วก็อ้างว่า เดี๋ยวจะสั่งน้ำมันปาล์มจากเมืองนอกเข้ามา แล้วก็ยืดเวลาการสั่งยาวออกมาหน่อย เพื่อให้เจ้าของโรงงานน้ำมันปาล์มรับประทานส่วนต่างมากขึ้นๆ มันเป็นอะไรของมันก็ไม่รู้ เวลาพรรคประชาธิปัตย์ทำงานทางด้านเรื่องนี้ทีไร ประชาชนเดือดร้อนทุกที ทั้งน้ำมันปาล์ม
มางวดนี้เรื่องหน้ากากอนามัย ช่วยไม่ได้ครับคุณจุรินทร์ แต่ผมไม่ได้ตำหนิคุณนะ ผมยังเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของคุณ แต่ผมยังยืนยันว่า คนที่อาจจะรอบตัวคุณ ใกล้ตัวคุณ ห่างตัวคุณไปหน่อย มีเส้นสาย และท่านผู้ชม พูดถึงข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์จะไม่รู้เชียวหรือว่าเขาจะต้องเอาหน้ากากอนามัยเข้ามาควบคุมแล้ว เมื่อเอาเข้ามาควบคุมแล้ว 200 ล้านชิ้น จะทำอย่างไร พ่อค้ามันฉลาด มันไม่โง่หรอก สมมุติพอรู้ว่าจะส่ง วิชิต (เจ้าของโรงงาน) อีก 6 วันเขาจะควบคุมแล้วนะ คุณจะเอาอย่างไร ท่านครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวส่วนแบ่งอะไรผมจัดให้ท่าน ทันทีเลย ส่งของออกไปต่างประเทศ ส่งไปเมืองจีน ได้เงิน นั่นคือทำไมเราถึงเห็นหน้ากากอนามัยที่คนจีนใส่ แล้วมียี่ห้อว่าเป็นของคนไทย มันมาจากพวกนี้
ด้วยความร่วมมือของโรงงาน และด้วยความร่วมมือของข้าราชการบางคน จะใหญ่หรือจะเล็กผมไม่รู้ และด้วยความร่วมมือของนักการเมือง จะเป็นใครผมก็ไม่รู้ แต่ร่วมมือกันหมด ยืนยันได้ท่านผู้ชม เพราะฉะนั้นจาก 200 ล้านชิ้น เหลือ 5 แสนชิ้น
เอาล่ะ ตามผมมา ที่เป็นตลกร้ายมาก พอเขาถามกรมการค้าภายในว่าทำไมคุณไม่เช็กสตอก ทะลึ่งตอบบอกว่ากรมการค้าภายในไม่มีหน้าที่เช็กสตอก ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าโรงงานรายงานมาว่ามีของเหลืออยู่เท่าไร ก็เชื่อไปอย่างนั้น ผมมีตัวอย่างหนึ่ง ตลกมาก ความที่มีคนที่สั่งหน้ากากอนามัยเข้ามา เป็นบริษัทใหญ่โต เป็นบริษัทระดับโลก เขาสั่งจะเอาเข้ามาขายในช่วงที่หน้ากากมันขาดตลาด ก็ปรากฏว่ากระทรวงพาณิชย์บอกว่า คุณเอาเข้ามาได้นะ แต่คุณต้องขายผม 2.50 บาท คนที่สั่งเข้ามาก็บอกว่า 2.50 บาท ผมเจ๊งนะ เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมสั่งเข้ามาแล้วผมยกบริจาคให้ประเทศไทยไป แต่ขอยอดเงินที่ผมบริจาคไปสามารถหักภาษีได้ กระทรวงพาณิชย์บอกไม่ได้ ไม่ให้ มันก็เลยไม่สั่ง
หน้ากากอนามัยมันมีหลายแบบ แบบนี้ก็แพง วางขายสิ คนมีปัญญาซื้อก็ซื้อไป แบบทั่วๆ ไป 2.50 บาท อาจจะต่ำไป มันก็เลยเป็นที่มาของการที่บวกราคาเข้าไปเป็น 15 บาท 20 บาท แล้วการไปจับกุมการขายออนไลน์ที่ลาซาด้า คือการเล่นละคร ไม่มีประโยชน์ จริงๆ
เมืองไทยไม่ควรจะมีกรมการค้าภายในเลย ถ้าเรายึดมั่นในเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน ของถ้ามีน้อย ความต้องการมีมาก ต้องหาทางส่งเสริมให้เอาของนั้นใส่เข้าไปในตลาดเยอะๆ เหมือนแม่ค้าขายกล้วยแขก ราคามันจะถูกกดดันให้ลดลง ถ้าวันนี้ประเทศไทยบอกว่าเอาล่ะ เรามาเริ่มกันใหม่ เริ่มกันใหม่นี่ก็หมายความว่าหลังจากที่เราจัดการกับเรื่องฉ้อโกงพวกนี้เรียบร้อยแล้วนะ วิธีการทำอย่างไรรู้ไหม แจกหน้ากากอนามัยฟรีให้กับประชาชนคนไทยทุกคน ส่งไป ส่งไปถึงบ้านเลยคนละกล่องๆ ท่านผู้ชมครับ ถ้ารัฐบาลไทยมีปัญญาซื้อเรือดำน้ำเป็นหมื่นๆ ล้าน ลำพังการแจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนคนไทย ใช้เงินไม่เกิน 1,000 ล้าน ทำไมเราจะไม่ทำ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม วันที่ 22 จำได้ไหมครับ ที่เริ่มมีข่าวคนติดโควิด-19 วันที่ 24 สองวันให้หลัง ไต้หวันเห็นว่ามาแล้วโรคระบาด ไต้หวันมีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามส่งออกหน้ากาก ห้ามส่งออกเลย ไม่ให้ส่งออก เสร็จเรียบร้อยแล้วไต้หวันบอกว่า ให้ประชาชนไปรับหน้ากากอนามัยฟรี ตามที่เขาตั้งไว้ตรงจุด ทั่วไต้หวันเลย โดยถือบัตรประชาชนไป เอาตัวท้ายเลขบัตรประชาชนว่า ถ้าเลขคู่มารับจันทร์-พุธ-ศุกร์ ถ้าเลขคี่ มารับอังคาร-พฤหัสฯ-เสาร์ วันอาทิตย์ทุกเลขมารับได้หมด สงบ เรียบร้อย ทุกคนได้หน้ากากอนามัย ไต้หวันไม่มีปัญหา แล้วตอนหลังไต้หวันก็ผลิตเพิ่มขึ้นมา จนกระทั่งไต้หวันอยู่ได้
เมืองไทยมีตั้ง 11 โรง 11 โรงใหญ่นะ ท่านผู้ชม ยังมีโรงกลาง โรงเล็กอีกนะ หลายโรง ยังไม่รวม ฉะนั้นสิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือว่า ท่านผู้ชมเชื่อผมไหม เวลากรมการค้าภายในไปเช็กโรงานหน้ากากอนามัย เถ้าแก่มันแน่นอน ยัดสัก 1 แสน โรงงานมันผลิตได้ 600,000 ชิ้นต่อวัน ในภาวะการณ์แบบนี้มันก็บอก พี่ ผมผลิตได้แค่ 300,000 เอ้า 300,000 ก็ส่งกระทรวงพาณิชย์ไป แล้วมันแอบผลิตอีก 300,000 ตามความสามารถของเครื่องจักร 300,000 นี้เข้าตลาดมืด ตลาดมืดเอาไปทางไหนล่ะ ตลาดมืดก็มีคนมารับไป พอรับไปแล้วก็จ่ายไม่ใช่ราคา 2.50 บาท ก็อาจจะจ่ายราคา 5 บาท หรือ 6 บาท แล้วมันก็ส่งต่อ หรือส่งออก วิธีการส่งออกก็ส่งง่าย ถึงกรมศุลกากรจะพูดอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่เชื่อ เพราะว่าคอนเทนเนอร์ที่ส่งออก ข้างล่างเป็นหน้ากากอนามัยหมด ข้างบนคือกระดาษชำระ คนเปิดดูก็บอกว่ากระดาษชำระครับ ส่งออก เขาต้องการ เพราะเขาไม่ได้ห้ามกระดาษชำระ โยนสัก 1-2 แสน คนตรวจก็รับ แล้วก็ปล่อยไป ท่านผู้ชม ประเทศไทยมันเป็นอย่างนี้จริงๆ อย่าไปฟังประเภทพวกสวยหรู ไม่มีทางครับ ผมตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้ว ไม่มี มันมี มันมีอยู่แล้วงานนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วหน้ากากอนามัยไทยมันจะหายไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ตอนนี้ท่านผู้ชมพอจะเข้าใจหรือยัง ว่าประกาศราชกิจจาฯ วันที่ 4 วันที่ 29 เรียกมาประชุม ว่าของมีครบไหม มีครบ พอมีครบปั๊บ 29-30-31-1-2-34 เจ็ดวันยังแถมเขาอีก 2 วันนะ พอประกาศราชกิจจาฯ แล้ว กระทรวงพาณิชย์ก็ยังบอกโรงงานผลิตว่า ผมให้เวลาคุณอีก 2 วัน ไปเช็กสตอกมา ไปรายงานสตอกของเดือนมกราคม ว่าคุณยังเหลืออีกเท่าไร เพื่อมารายงานผลเมื่อวันที่ 6 วันที่ 6 จะได้เริ่มจริงๆ
เอ๊ะ ท่านผู้ชมครับ แล้วสตอกที่บอกว่า 200 ล้านชิ้น ที่บอกกับอธิบดีกรมการค้าภายใน และรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ มันเป็นสตอกผีหรืออย่างไร มันไม่ใช่สตอกหรืออย่างไร แล้วกรมการค้าภายในก็รับทราบรายงานในที่ประชุมว่ามีสตอก 200 ล้าน เมื่อมีสตอก 200 ล้านแล้ว สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือว่า แค่ 29-30-31-1-2-3-4 หกวันเท่านั้นเอง ถ้ามันจะหาย มันก็จะหายไปรปะมาณสัก 50 ล้าน นี่มันหายไปได้อย่างไรตั้ง 199.5 ล้าน ท่านผู้ชมเช้าใจหรือยัง แล้วจะโทษใครล่ะ ผมโทษหมดแหล่ะ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เรื่องนี้นะ หน้ากากอนามัยบ้านเราไม่ขาดหรอก แต่ที่มันขาดเพราะว่ามีข้าราชการชั่วๆ บางคน นักการเมืองน้ำลายไหล คอร์รัปชันบางคน ร่วมกับพ่อค้าซึ่งเป็นสันดานพ่อค้าแสวงหากำไร 3 ฝ่าย เอามายำ
ท่านผู้ชมครับ คุณวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ หนึ่งเดือนที่แล้ว ท่านพูดอย่างขึงขัง นี่คือคำพูดของท่านนะ "มีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยตอบรับที่จะผลิตและส่งมอบหน้ากากอนามัยให้กับองค์การเภสัชกรรมเพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลจำนวน 5 แสนชิ้นต่อวันแล้ว" โอ้โห ฟังแล้วน่าชื่นใจ แต่ 16 วันให้หลัง หลังจากท่านอธิบดีพูดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ วันที่ 1 มีนาคม 16 วันให้หลัง 12 วันที่แล้ว โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลสภากาชาดไทย โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และโรงพยาบาลอีกมากมาย ขอร้องให้กรมการค้าภายในแบ่งหน้ากากอนามัยขายให้โรงพยาบาลก่อน เพราะบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีหน้ากากอนามัยใช้ กรมการค้าภายในบอกมีสินค้าเพียงพอแน่นอน เพราะทุกโรงงานทำการผลิต 24 ชั่วโมง แต่ผู้ซื้อหาซื้อไม่ได้ ร้านขายยาไม่ได้รับการจัดจำหน่าย โรงพยาบาลก็ไม่มีใช้ แล้วหน้ากากอนามัยมันหายไปไหน ก็ท่านอธิบดีพูดอยู่ไม่ใช่หรือว่าส่งองค์การเภสัชกรรม 5 แสนชิ้น แล้วท่านก็อ้างว่าบริษัทผู้ผลิตก็ส่งให้ร้านขายยาโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสมาคมผู้ขายยา แต่คำถามว่าเมื่อคนไปซื้อที่ร้านขายยา มันไม่มี
ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ท่านผู้ชมพอเข้าใจหรือยังว่าหน้ากากมันหายไปไหน หน้ากากหายเพราะ หนึ่ง มีการแอบส่งออก เพราะรู้ก่อนล่วงหน้าว่าสินค้านี้จะต้องถูกควบคุม ห้ามส่งออก แล้วหลังจากนั้นโรงงานก็แจ้งกำลังการผลิตปลอม ผลิตได้ 5 แสนชิ้นต่อวัน ก็บอกผลิตได้ 3 แสนชิ้นต่อวัน อีก 2 แสนชิ้นก็ผลิตออกมาแล้วก็ออกสู่ตลาดมืด มีกระบวนการจากตลาดมืดมารับ นี่ล่ะครับคือสาเหตุที่หน้ากากอนามัยหายไป ถ้าท่านพร้อมจะซื้อในราคาประมาณสัก 25-30 บาทต่อชิ้น หน้ากากไม่หายหรอกครับ ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้มันก็ไปได้ดีนะ จนกระทั่งมันมีคนๆ หนึ่ง ผมเรียกว่าไอ้เฮ้าเลี่ยนบอย
นายบอย ชื่อจริงเป็นชื่อที่อ่านยากจริงๆ นายบอยเป็นชื่อ ศรสุรวีร์ หรือที่เขาเรียกว่าเป็นธนูที่แกร่งกล้า แต่ผมจะเรียกเขาว่าไอ้หอกหัก หมอนี่มีคุณูปการมากนะท่านผู้ชม อย่าเพิ่งไปว่าเขา ถ้าไม่มีความเฮ้าเลี่ยน ไม่มีความคุยโวโอ้อวด ความอวดดี ความแสดงความอัตตา รู้จักคนเยอะแยะไปหมด เราจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ และต้องขอบคุณเพจควีนโพธิ์ดำ ที่ไปเอาเฟซบุ๊กการไลฟ์ของหมอนี่มาลงในเพจของเขา ถึงแม้ว่าข้อมูลบางอย่างอาจจะไม่ถูกต้อง และเป็นการด่วนตัดสินใจไป แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ผมไม่ได้มีอะไรที่คิดว่าผมจะไปว่าแหม่มฯ เพจนี้
ก่อนที่จะมาถึงนายบอย โยงกลับมานิดหนึ่ง อธิบดีกรมการค้าภายในกำลังจะยื่น บอกว่าจะแจ้งความยื่นฟ้องโฆษกกรมศุลกากร เหตุผลเพราะกรมศุลกากรอ้างว่าใน 2 เดือนที่ผ่านมานี้ไทยส่งออกหน้ากากอนามัย 330 ตัน อธิบดีก็ฉุนมาก อธิบดีก็ออกมาโวยวายทันทีเลย ว่าไม่ได้ คุณพูดผิด สิ่งที่ออกมันไม่ใช่แค่หน้ากากอนามัย มันมีอุปกรณ์โน่นนี่นั่น ผสมผสานไป
ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นที่ผมสนใจคือว่า รัฐบาลไม่สนใจจะเช็กหรือว่าใครส่งออก โรงงานไหน คนที่ส่งออกมาจากโรงงานไหน ใครเป็นนายหน้า ข้อมูลนี้ต้องมี กรมศุลกากรต้องมี ใบอนุญาตส่งออกเซ็นให้วันไหน โดยใคร 2 เดือน 330 ตัน มกราคม-กุมภาพันธ์ ต่อมีนาคม มีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าพวกนี้ทิ้งร่องรอยเอาไว้เยอะ
หลายคนบอกว่าข้อหาเรื่องคดีกักตุนสินค้า โทษไม่มาก จิ๊บจ๊อย วิ่งเต้นได้ โดนปรับ 150,000 บาท อาจจะโดนจำคุก แต่โทษจำอาจจะโดนรอลงอาญา ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมว่าควรหรือไม่ควร การกักตุนสินค้าหน้ากากอนามัยแบบนี้ ถ้าใครถูกจับได้ ควรจะเข้าสู่มูลฐานการฟอกเงินได้ ต้องเอา ปปง.เข้าไปประกบ ถ้าจับได้โรงงานไหนมีส่วนเกี่ยวข้อง อายัดทรัพย์ ฟอกเงิน อายัดหมดเลย แล้วผมจะคอยดูว่ามันจะกล้าไหม เข้าใจหรือยังท่านผู้ชม
ท่านผู้ชมครับ นายบอย ชื่อนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี ผมไม่รู้ว่าแกไปหาพระที่ไหนตั้งนามสกุลนะ เอาเป็นว่า ศรสุวีร์ ผมให้คนเช็กแล้ว ก็คือลูกธนูผู้แกร่งกล้า เหมือนหอกที่แหลมคม ผมขออนุญาตเรียกท่านว่าไอ้หอกหักก็แล้วกันนะครับ เพื่อง่ายๆ คือจู่ๆ นายคนนี้ก็มีภาพออกมาอย่างที่เรียกว่าสุดลิ่มทิ่มประตู โพสต์ออกมาเลย ที่สำคัญ น่าสนใจมาก เขาโพสต์ภาพของเขาวันไหนรู้ไหม เขาโพสต์ภาพเขารู้สึกจะเป็นวันที่ 2 หรือ 3 มีนาคม หลังจากที่โรงพยาบาลเขาบอกว่า ... คุณศรสุวีร์ โพสต์ในเฟซบุ๊กของเขาว่า ผมมี 5 ล้านชิ้น หน้ากากอนามัยมี 5 ล้านชิ้น ถ้าขายก็ต้องขายเป็นล้านนะ เอาเงินมา นี่มีบัญชีโน่นมีบัญชีนี่
ที่สำคัญคือเขาไปโพสต์ต่อ ว่า นี่ไง มีเพื่อนพี่น้องมาช่วยกัน แล้วคนๆ หนึ่งที่ถ่ายรูปกับเขาก็คือนายพิตตินันท์ นายพิตตินันท์ เผอิญเป็นผู้ติดตามรัฐมนตรีฯ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายพิตตินันท์ ไม่ได้รู้จักคุณธรรมนัส พรหมเผ่า แต่ได้รับการแนะนำมาจากคนวงการสื่อมวลชนคนหนึ่ง ฝากฝังเอาไว้ว่าเอามาทำงานด้วย เพราะอดีตเป็นผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ได้คะแนนเสียงไปประมาณ 7,000 กว่าคะแนน ร.อ.ธรรมนัส เท่าที่ทราบก็เข้าใจว่า เขาก็มีเสียงตั้ง 7,000-8,000 เสียงนะ เอามาอยู่ด้วยกันก็แล้วกัน เผื่องวดหน้ามีเลือกตั้งจะได้หาทางที่จะไปหาคะแนนเสียงเพิ่มเติม หรือจะเป็นตัวที่ไปหาว่าใครที่จะเหมาะลงพรรคพลังประชารัฐ คนพวกนี้ก็เลยเป็นผู้ติดตาม และเขาก็มีนามบัตร ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องตลก ทำไมจะต้องมีบัตร มีรูปตัวเอง แล้วก็เขียนว่า ผู้ติดตามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มันตลกนะ แม้กระทั่งนามบัตรก็มีว่าผู้ติดตาม ก็คือสรุปง่ายๆ ว่า คุณพิตตินันท์ก็เป็นคนที่อยากดัง อยากมีชื่อเสียง แล้วก็มาเจอนายบอย
นายบอย หลังจากโพสต์เรื่องนี้ออกมา แล้วแหม่มโพธิ์ดำก็เอามา บอยก็โพสต์บอกว่ารู้จักนายลี ซึ่งจะเจรจากับอะลีบาบาได้ รู้จักคนโน้นรู้จักคนนี้ เป็น กต.ตร.อยู่ที่อำเภอ-ตำบลตัวเอง ท้องที่ตัวเอง เบ็ดเสร็จพูดง่ายๆ ก็คือว่า คุยโวโอ้อวดและโชว์ออฟ โชว์ออฟให้เห็นว่าตัวเองมีนี่ ดูสิ ของมีอยู่เป็นสิบๆ ล้านชิ้น ส่งเงินมาเลยนะ แล้วก็เอาบัญชีธนาคารให้ดูว่าเท่านี้ๆๆ ท่านผู้ชมครับ หลายคนก็เข้าใจผิดนึกว่าเป็นบัญชีของนายบอย ไม่ใช่ เป็นบัญชีคนอื่น และเขากำลังตรวจสอบอยู่ และอีกไม่นานก็จะรู้ว่าบัญชีที่นายบอยอ้างนั้นเป็นบัญชีของใคร เจ้าของบัญชีเตรียมตัวเจ็บตัวได้เลย เพราะว่าเขาจะถาม คำว่าเขา หมายถึงตำรวจ และ ปปง. เขาจะถามเลยว่าเงินนี้คุณได้มาอย่างไร คุณโอนเข้ามาอย่างไร ทำไมถึงมีเงินมีทองโอนเข้ามาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว ตรงนี้ที่จะรู้ตัวตนที่แท้จริง ขอยืนยันก่อนนะครับว่าบัญชีที่ท่านเห็นในหน้าจอ ไม่ใช่บัญชีนายบอย บัญชีของคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งตำรวจเขากำลังค้นอยู่ และเรื่องนี้ตำรวจเขาสืบอยู่
ท่านผู้ชมครับ ในขณะนี้ทีมตำรวจทั้งทีมกำลังแกะรอยพวกนี้อยู่ ผมเพียงแต่เอามาเล่าให้ฟังว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วผมเชื่อว่าอีกไม่นาน 1-2 อาทิตย์ จะโป๊ะเชะกันเยอะเลยงานนี้ จะรู้ตัวเองได้ แล้วก็เช็กเส้นทางเดินเงิน เงินเข้าบัญชีใครบ้าง เขาจะรู้หมดเลย ว่าเงินเข้าบัญชีใครบ้าง ถึงตอนนั้นคนที่ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้องด้วย ก็เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน ต้องโดนแน่นอน
ทีนี้ นายบอยคือใคร มาจากไหน ถ้าดูจากเหตุการณ์แล้ว นายบอยก็คือนายหน้าคนหนึ่งเหมือนกัน เป็นคนไปหาของมา เป็นคนวิ่งเต้นแล้วก็อยู่วงการนี้มา นายบอยนี่ก็จะต้องสามารถที่จะติดต่อคนโน้นคนนี้ได้ เพราะนายบอยจะเป็นคนที่สังคมจัด รู้จักคนโน้นรู้จักคนนี้ นายบอย ชื่อเดิมชื่อ อภิรักษ์ แตงภู่ เขาเปลี่ยนชื่อเมื่อปี 2557 อภิรักษ์นี่ทำให้ผมอดคิดถึงคุณอภิรักษ์ โกฎธิ ไม่ได้ ในคดี Forex 3D นายบอย พื้นฐานจบการศึกษา ม.3 จากโรงเรียนใน ต.หนองรี จ.ชลบุรี เป็นคนที่ปากกัดตีนถีบมาเรื่อยๆ เป็นเด็กรถบ้าง อะไรบ้าง จนถีบตัวเองขึ้นมาเป็นผู้จัดการห้างโลตัส ทำธุรกิจตลาดนัดหน้าห้างบิ๊กซี จนถึงเซ็นทรัลที่ชลบุรี จนปี 2561 เพิ่งมาเปิดร้านอาหารชื่อ Santa Sea แต่โดนสั่งปิดเพราะโดนข้อหาเปิดเกินเวลา เปิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และภรรยาก็ถูกดำเนินคดี
บอยคนนี้ถ้าพูดอีกทีก็เป็นคนขยันทำมาหากิน เป็นคนที่ชอบไปเปิดลานเบียร์ตามจังหวัดต่างๆ ภรรยาของนายบอยมีอยู่ 2 คน คนแรกเป็นคนที่มีลูกด้วย 2 คน แล้วก็เลิกกัน แล้วไปอยู่กับสามีฝรั่งอยู่ที่เยอรมนี ส่วนคนที่ 2 ที่อยู่ปัจจุบันนี้ ก็เคยมีสามีมาแล้ว แต่เป็นฝรั่ง เลิกกับสามีฝรั่งก็คงจะมีเงินมาก้อนหนึ่ง ก็มาอยู่กับนายบอย
ตอนที่มีเรื่องมีราวลงในเพจแหม่มโพธิ์ดำ นายบอยเขาโพสต์ในเพจของเขา โพสต์ประเภทที่เรียกว่า ตอบโต้คนเยอะแยะไปหมดเลยที่หาว่าเขาไม่มีเงิน เขาบอกว่าเขามีที่ดินอยู่ที่ชลบุรี ติดถนนใหญ่ มูลค่า 300-400 ล้านบาท เขาขับเบนซ์ป้ายแดง ลูกน้องของเขาแต่ละคนเขาออกรถใหม่ป้ายแดงให้ทั้งนั้น บ้านของเขามูลค่า 25 ล้านบาท ผมก็สงสัยว่าคนที่มีเงินขนาดนี้ ทำไมเฮ้าเลี่ยนแบบนี้ คนที่มีเงินมีทรัพย์สินอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่เงียบๆ จะไม่เฮ้าเลี่ยนแบบนี้แน่นอน ก็ปรากฏว่าทีมของผมก็ไปค้นพบข้อเท็จจริงว่าประการแรก บ้านที่อยู่ อยู่ในหมู่บ้าน มูลค่าคงไม่เกิน 3-4 ล้านบาท
แล้วรถเบนซ์ที่ใช้อยู่ ก็เป็นรถเบนซ์จริง แต่เป็นเบนซ์ป้ายแดง ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้เป็นของเมียคนที่สอง ไม่ใช่ของคุณบอยเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่คุณบอยโม้ไป ผมก็เลยสรุปได้อย่างเดียวว่า นายคนนี้ก็คือนายหน้า วิ่งเต้น แต่ผมไม่อยากสรุปว่าเขาคือ 18 มงกุฎ เพราะพฤติกรรมของเขาก็คล้ายๆ ช่างมันเถอะ คนเราต้องการทำมาหากิน เอาเงินเอาทอง แล้วเขาก็คงไม่ได้คิดอะไร เพราะสติปัญญาเขาก็มีเพียงแค่นี้ ว่าถ้าเขาเป็นนายหน้าแล้ว เขาสามารถจะเอาคนมาซื้อหน้ากากอนามัยในตลาดมืดได้ เขาจะได้ส่วนแบ่งเท่านี้ๆ เขาพอใจเพียงแค่นี้ แต่เผอิญเขาเป็นคนคุยโวโอ้อวด
ที่น่าสนใจ ท่านผู้ชมลองดูบ้านของเขาที่ผมเอาขึ้นให้ดูว่าเขาเป็นใครบ้าง นายบอย หรือศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี แหมให้ตายผมอยากจะรู้จังว่าใครตั้งนามสกุลให้ ภู่รวีรัศวัชรี เขาโพสต์ในเฟซบุ๊กของเขาว่า เลขาฯ ตัวแทนรัฐบาล มิสเตอร์ลี คู่ค้าการขาย บริษัทอะลีบาบา ดร.ชัย เจ้าของโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย และคุณบอย ร่วมกันหารือทางการค้ากับท่านเลขาฯ รัฐบาล มิสเตอร์ลี คู่ค้าขาย มิสเตอร์แจ๊ก หม่า
ยังไม่ทันไรเลย เมื่อสองวันที่แล้วอะลีบาบาออกแถลงการณ์แล้วว่าอย่ามาอ้างชื่อนะ อะลีบาบาไม่เกี่ยวข้อง และขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดี คุณบอยเขาก็โพสต์ รวมทั้งการพบนายพิตตินันท์ รักเอียด ผู้ติดตาม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่โรงแรมมารีออท พิตตินันท์ก็ไปรายงาน ร.อ.ธรรมนัส ว่าเพิ่งพบคุณบอยครั้งเดียว ซึ่งเป็นการโกหก ร.อ.ธรรมนัส ตอนนั้นก็คงจะร้อนใจว่าทำไมเรื่องมาถึงตัวเองได้ ก็เลยเรียกพิตตินันท์มาถาม พิตตินันท์บอกว่า ผมไม่รู้จัก ผมเพิ่งพบครั้งเดียว แต่ในข้อเท็จจริงรู้จักกันมาพอสมควรแล้ว เพราะในหลักฐานมีการพิสูจน์ชัดเจนว่าเขามีการแชตกันระหว่างนายพิตตินันท์ กับนายบอย แชตกันมาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้นแล้วสองคนนี้คงจะขยุกขยิกอะไรกันในบางอย่าง ซึ่งผมไม่สามารถจะรู้ได้ แต่เอาเป็นว่าเป็นเรื่องของหน้ากากอนามัยที่ออกมาทางใต้ดินอย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไรที่ผิดไปจากนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
สรุปง่ายๆ ก็คือว่า งานนี้พอดี๊...พอดี ท่านผู้ชม มันไปเข้าทางกลุ่มหลายกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ต้องการเตะธรรมนัสออกจากรัฐมนตรี กลุ่มที่สองก็คือพรรคประชาธิปัตย์ กำลังเห็นว่างานนี้พิตตินันท์เข้ามาจังหวะดีจริงๆ ก็เลยโยนขี้ความทำงานไม่เป็น ที่ไม่มีประสิทธิภาพของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์ ให้ธรรมนัสรับเละไปเลย กลุ่มที่สาม ก็คือคนในพรรคพลังประชารัฐเอง โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรบางคน เพราะว่าในกลุ่มสามมิตรบางคนนั้นมีความผูกพันกับเจ้าของโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยที่ชื่อ ดร.ชัย แล้วพวกนี้เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรคภราดรภาพ ซึ่งเป็นพรรคอะไหล่ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ท่านผู้ชม มันเริ่มซับซ้อนแล้วใช่ไหม ตอนนี้มันกำลังเริ่มจะต่อรองกันแล้ว คือสมมุติว่าถ้ามีการปรับ ครม. ถ้าธรรมนัสออกไป ก็มีตำแหน่งว่าง 1 ตำแหน่ง แล้วจะใช้ใครล่ะ นายหอกหักคนนี้ก็โผล่ขึ้นมาทันทีเลย มันเหมาะจริงๆ เลย มันเหมาะที่สุด ก็ใช้ให้เดินหน้าต่อไปแล้วกัน เมื่อใช้ให้เดินหน้าต่อไปปั๊บ ขี้ทั้งกองก็เลยถูกโยนมาที่ ร.อ.ธรรมนัส เพราะ ร.อ.ธรรมนัส เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ ตรงนี้ล่ะที่ผมคิดว่าเพจของแหม่มโพธิ์ดำไม่ได้ละเอียดลึกซึ้งในเรื่องนี้ แต่เขามีคุณูปการการที่เขาเอาเรื่องนี้มาเปิดโปง เลยทำให้มีการตื่นตัวกัน แต่คนที่ซวย โดนด่าตลอดเวลาก็คือธรรมนัส พรหมเผ่า ทั้งที่ไม่รู้
อุปมาอุปไมยเหมือนที่ผมพูดให้ฟัง นั่งอยู่หน้าบ้านบนเตียงผ้าใบ แล้วไม่รู้ใครเอาก้อนหินปาใส่กบาลตัวเอง ตัวเองลุกขึ้นมาก็โดนก้อนหินอีกหลายก้อน โอ๊ย โดนถล่มเสียไม่มีดีเลย ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ท่านผู้ชมครับ รายงานนี้เพจแหม่มโพธิ์ดำมีคุณูปการ แต่ผมก็ต้องเตือนเอาไว้นิดหนึ่ง เวลารับข้อมูลอะไรจากใครมา ผมรู้ว่าเพจแหม่มโพธิ์ดำมีคนที่ป้อนข้อมูลให้ ประจำจากเพจๆ หนึ่ง แล้วเจ้าของเพจนี้ก็มีคนสนิทชิดเชื้อคนหนึ่งเป็นยศพลตำรวจโท อย่าให้เอ่ยชื่อเลย เป็นที่รู้กัน สมัยก่อน จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นจุดอ่อนของนายกฯ ก็โดนถล่มเสียเละ จนกระทั่งนายกฯ ไม่เปลี่ยนใจ ยังยืนยัน ยืนข้างหลังจักรทิพย์ ชัยจินดา และเพจคุยทุกเรื่องกับสนธิก็เข้าไปให้ความยุติธรรมกับจักรทิพย์ เผอิญจักรทิพย์ ชัยจินดา นั้นกลายเป็นฮีโร่ในการปฏิบัติการ ก็เลยทำให้จักรทิพย์รอดตัวไป งวดนี้ ธรรมนัส พรหมเผ่า ตีธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่ใช่ตีแค่ปรับ ครม. ตีให้กระเทือน เขาเรียกว่าเด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว ก็คือให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเจ็บช้ำน้ำใจและต้องได้รับการดูถูกเหยียดยาม และต้องได้รับความไม่นิยมชมชอบจากประชาชนทั้งประเทศ เพราะสังคมไปกล่าวหาแล้วว่าคนที่ทำให้หน้ากากหายไปชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งหมอนี่ไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เอาความจริงมาพูด ไม่ได้เข้าข้างใครเลยแม้แต่นิดเดียว จริงก็จริง ไม่จริงก็ไม่จริง ระยำก็ต้องบอกว่าระยำ ไม่ใช่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ ด้วยความสัตย์จริง
เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็น ก็นึกดูแล้วกัน พรรคประชาธิปัตย์ออกมาถล่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เมื่อนับถือโจรเป็นกัลยาณมิตร หากโจรจะขโมยหน้ากากอนามัยก็ธรรมดานี่ครับ ไม่เห็นแปลก สันดานโจรไง!!!
คุณนิพิฏฐ์ท่านก็ไว แต่ท่านก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องน้ำมันปาล์มที่พรรคของท่านทำชาวไทยเขาฉิบหายมาแล้วครั้งหนึ่ง หรือไม่ได้พูดถึงบทบาทของคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์ งานนี้คุณจุรินทร์ต้องรับผิดชอบแต่ผู้เดียว เพราะท่านไม่สามารถจะดูแลกรมการค้าภายในได้ตามที่ควรจะต้องเป็น อย่างที่ผมเล่าให้ฟังเป็นขั้นตอนมาหมด ปรากฏว่ายุยงส่งเสริม แม้กระทั่งคนในพรรคพลังประชารัฐ คุณสิระ เจนจาคะ ผู้ซึ่งไม่เคยพลาดโอกาส ไม่เคยพลาดโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยการกระทืบคนอื่น ก็มากระทืบ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ท่านผู้ชม ผมเป็นคนทนไม่ได้ ถ้าใครโดนรังแกอย่างไม่แฟร์ ถึงเขาจะเป็นคนอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเรื่องนี้เขาไม่ผิด เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ และผมมั่นใจในเรื่องนี้
คุณสิระ เจนจาคะ ก็ออกมาชัด ขนาดผมซื้อหน้ากากอนามัยแจกประชาชน โน่นนี่นั่น อยากจะถามว่าถ้าหมาในบ้านไปขี้บ้านอื่นหรือไปกัดใครนอกบ้าน เจ้าของบ้านต้องรับผิดชอบไหม จะปฏิเสธไม่ได้ ถ้ามีประชุมพรรคเมื่อไร เสนอให้พรรคพิจารณาปลด ร.อ.ธรรมนัส ทันที สิระ เจนจาคะ
ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้มันเป็นละครที่มีการผสมโรงกันหลายบท บทแรกมันเกิดจากไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นมา พอเกิดขึ้นมา เกิดวิกฤต ในวิกฤตก็มีโอกาส โอกาสที่จะมาก็คือหน้ากากอนามัย ก็ต้องทำให้หน้ากากอนามัยขาดแคลนตลาด เมื่อขาดแคลนแล้วก็ต้องให้มีการแอบส่งออกไป เมื่อแอบส่งออกไปก็ต้องทำให้มีการแอบผลิตมากกว่ากำลังการผลิตที่ตัวเองแจ้งให้กับกรมการค้าภายใน แล้วก็จะมีคนไปรองรับ อีกด้านหนึ่งก็คือฝ่ายการเมือง ก็นั่งจ้องอยู่ ฝ่ายประชาธิปัตย์ซึ่งดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ดูว่า ตายล่ะ แหม่มโพธิ์ดำ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เข้ามา ก็เอาไม้หน้าสามตีกบาล ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยไม่พิจารณารายละเอียดลึกซึ้งแต่ละข้อๆ จังหวะเหมาะพอดีเลย ประชาธิปัตย์มีขี้อยู่กองหนึ่ง ไม่รู้จะให้ใคร ก็เลยโยนให้ธรรมนัส พรหมเผ่า เอาขี้ราดตัวธรรมนัส พรหมเผ่า ไป ในขณะเดียวกัน อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มสามมิตร เกี่ยวพันกัน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกันมากน้อยแค่ไหน แต่ว่า ดร.ชัย กับโรงงานกลุ่มหนึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคภราดรภาพ ซึ่งเป็นพรรคอะไหล่ของคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน เมื่อเป็นพรรคอะไหล่แล้ว ก็ต้องเป็นคนของคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน
จังหวะบอยเฮ้าเลี่ยนเข้ามา ทุกคนก็เลยตกลงใจว่าใช้บอยก็แล้วกัน บอยก็เฮ้าเลี่ยนได้ใจ โชว์ออฟตัวเอง แล้วก็ไปดึงพิตตินันท์ ซึ่งธรรมนัสไม่รู้ ไม่ได้สนิทสนมอะไรด้วยเลย เพียงแต่มีคนฝากฝังเข้ามาอยู่ในทีม ซึ่งตอนนี้เขาก็ไล่ออกไปแล้ว เพราะเพิ่งจะมารู้ความจริงทีหลัง มันก็เลยลงตัวเป๊ะๆๆ แต่คนที่รับขี้และซวยที่สุดก็คือธรรมนัส พรหมเผ่า แต่หลายคนก็จะบอกว่าสะใจ ดีแล้วให้มันโดนบ้าง สำหรับผมแล้วไม่มีความเห็น ผมมีความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ถูกกระทำ งานนี้ เรื่องอื่น เรื่องเก่าๆ ผมไม่ยุ่ง คุณไปว่ากันเอง แต่เรื่องนี้ไม่ได้ เรื่องนี้ผมคิดว่าไม่แฟร์ แล้วเรื่องนี้ผู้ร้ายตัวจริงลอยนวลอยู่นะ ผู้ร้ายตัวจริงยังลอยนวลอยู่ กลุ่มเครือข่ายตัวจริงก็ยังลอยนวลอยู่
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็เป็นวันที่ค่อนข้างที่จะหลายเรื่อง แต่เข้าใจว่าเรื่องนี้เมื่อผมอธิบายแล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจดีแล้ว ว่าหน้ากากหายไปไหน เชื่อสิท่านผู้ชม พลพรรคประชาธิปัตย์ต้องเข้ามาถล่มผมแน่นอน ไม่เป็นไร ผมไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่ผมจะเตือนพวกคุณ ถ้าคุณแน่จริง คุณถอนตัวออกไปเลย ผมอยากให้ถอน ถ้ายืนตามหลักอุดมการณ์ แต่ผมเชื่อว่าคุณไม่ถอนหรอก ท่านผู้ชมารู้ไหมว่าทำไมไม่ถอน ผมจะเล่าให้ฟัง ทุกคนรอพฤษภาคมนี้ก่อน ทำไมต้องรอพฤษภาคม เพราะพฤษภาคมเป็นวันเริ่มต้นการเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 งบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท จะเริ่มเบิกจ่ายพฤษภาคม ทุกกระทรวงรอโครงการ รอเงินทอนจากพ่อค้าทั้งนั้น ไม่เว้นกระทรวงพาณิชย์ ตีให้ตายก็ไม่ออก แต่พอได้เงินได้ทองแล้ว พอถึงปลายปีแล้วจะหักค่อยว่ากันอีกที เริ่มมีเงินแล้วนี่ ส่วนพรรคตรงกันข้ามที่นั่งน้ำลายไหลยืดเอาๆ คือพรรคเพื่อไทย อดอยากปากแห้งมานานจนวันนี้ และยังคงต้องอดอยากปากแห้งต่อไป
ฉะนั้นเรื่องธรรมนัส เป็นเรื่องการตีกันภายใน เป็นเรื่องการถีบธรรมนัสออกไป แล้วก็เป็นเรื่องของการโยนขี้ให้ธรรมนัส และในขณะเดียวกันก็ยังพยายามสร้างภาพ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น พยายามสร้างภาพว่าตัวเองไม่ควรจะมาร่วมรัฐบาลชุดนี้ ก็ถ้าแน่จริงก็ออกไปสิ แต่ก็ออกไม่ได้ เพราะว่างบประมาณปี 63 เริ่มใช้เงินได้เดือนพฤษภาคมนี้แล้ว
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็ยาวพอสมควร น่าจะสัก 1 ชั่วโมง 20 นาที อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม ลองพิจารณาเรื่องที่ผมเสนอมา ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ท่านบอกมาก็แล้วกัน ทำอะไรผมจะต้องถามก่อน วันนี้เอาเพียงแค่นี้ก็แล้วกันท่านผู้ชม ออกไปไหนมาไหน ผมหวังว่ารัฐบาลคงจะแก้ไขปัญหาเรื่องหน้ากากอนามัยขาดแคลนได้ เมื่อรู้ปัญหา ผมคิดว่าควรจะตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาชุดหนึ่ง เอาอธิบดีกรมการค้าภายใน รองอธิบดีทุกคน ก็ในเมื่อคุณรับใช้นักการเมืองดีนัก ก็มาสอบ เชื่อผมสิท่านผู้ชม โยงดีๆ คลำผลแตงดีๆ จะไปเจอต้นมัน มันไม่มีอะไรยากหรอก ส่งออกมีตัวเลข ปปง.เช็กได้ เงินผ่านบัญชีใครบ้าง ผ่านบัญชีใครเรียกมาสอบ สอบไม่รู้เรื่องก็ยึดทรัพย์ โรงงานถ้าจะถูกยึดทรัพย์ โรงงานก็ต้องเปิดหมดว่าใครติดต่อมาบ้าง แล้วพอหงายไพ่ออกมาแล้วผมว่าจะช็อกกันทุกคน อาจจะมีคนที่เราคิดไม่ถึง ก็ถือว่าโชคร้ายไปคุณธรรมนัส คุณนั่งอยู่บนเตียงผ้าใบ กินลมเย็นๆ สบายดี กินกาแฟ แล้วคุณก็โดนก้อนอิฐห่อหน้ากากอนามัยขว้างใส่กบาล คุณลุกขึ้นมาก็โดนอีกหลายก้อนขว้างเข้ามา ก็รับไปก็แล้วกันงานนี้
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เอาเพียงแค่นี้ แล้วเจอกันอีกทีหนึ่งอาทิตย์หน้าวันที่ 20 สวัสดีครับ