มองคนละมุม “วิญญัติ” หนุน “ปู-ยิ่งลักษณ์” ม.44 คือความอยุติธรรม “แรมโบ้อีสาน” แฉ “ยิ่งลักษณ์” คือต้นเหตุทุจริต นิรโทษกรรมสุดซอย ทำพี่น้องเสื้อแดงติดคุก ครอบครัวบ้านแตกสาแหรกขาด ไม่เกี่ยว “ลุงตู่- คสช.-ม.44”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(18 ธ.ค.62) นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) และเคยเป็นทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีการยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยระบุว่า “มาตรา 44 มีแต่ความเลวในใจคนเท่านั้นที่ยอมรับได้ ในฐานะนักกฎหมาย ที่เห็นความไม่เป็นธรรมจากการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ผมขอพูดจากความรู้สึกและจิตใต้สำนึกล้วนๆ
กล่าวคือ ผู้ใดสามารถยอมรับความไม่เป็นธรรมจากการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ได้อย่างไม่รู้สึกถึงความอยุติธรรม นั่นแสดงว่าเป็น “พวกเห็นกงจักรเป็นดอกบัว” หากมาตรา 44 ดีจริง จะมีบทบัญญัติยกเว้นความรับผิดของบุคคลที่ใช้อำนาจภายใต้มาตรานี้ไว้ด้วยเหตุใด เมื่อกล้าไปก้าวล่วงทุกอำนาจได้แล้ว จะกลัวทำไม
คำว่า “สุจริต” “ไม่เลือกปฏิบัติ” “ไม่เกินสมควรแก่เหตุ” หรือ “ไม่เกินแก่กรณีความจำเป็น” เขียนขึ้นเพื่อปิดบังอำพรางในสิ่งที่ตรงกันข้ามทั้งนั้น เพราะมันคือการมอบอำนาจให้ใช้อำนาจได้อย่างที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม แต่กลับได้รับการคุ้มครองผู้ใช้อำนาจไว้โดยไม่รับผิดชอบนั่นเอง กรณีการยึดทรัพย์สินที่เกิดขึ้นกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความไม่ยุติธรรมและขัดต่อหลักนิติธรรม
ท่านยิ่งลักษณ์ได้แสดงความในใจและความคิดเห็นในฐานะผู้ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เพราะท่านเป็นปุถุชนที่มีความรู้สึกเป็นความปกติของมนุษย์ที่ต้องการแสดงออกต่อกรณีมาตรา 44 โดยเฉพาะกรณีที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังและคณะบุคคล รวมทั้งกรมบังคับคดี ดำเนินการบังคับยึดทรัพย์สินของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ทำมาหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง โดยที่ไม่มีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดแม้แต่เรื่องเดียวที่พิพากษาให้ชดใช้ความเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิด มีแต่คำสั่งของคณะบุคคลเท่านั้น
ส่วนการชี้มูลของ ป.ป.ช. คดีจำนำข้าวและมีคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีการเมืองก็เป็นเรื่องทางอาญาจากการกล่าวหาว่าการปฏิบัติหน้าที่ว่าเป็นการมิชอบเรื่องนั้นก็ว่าไป แต่ก็ไม่มีคำพิพากษาตอนใดระบุว่าอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้เป็นผู้กระทำความผิดทุจริตแต่อย่างใดเลย
ในทางตรงกันข้ามกลับไม่มีคำพิพากษาทางแพ่งของศาลที่จะมีผลทำให้กรมบังคับคดีสามารถดำเนินการได้ การบังคับคดีดังกล่าวก็อาศัยอำนาจและอาศัยความคุ้มกันจากอำนาจตาม มาตรา 44 การที่กรมบังคับคดีชี้แจงออกมาก็ฟังไม่ขึ้น เพราะอ้างคำสั่งกระทรวงการคลังที่ไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุดของศาลให้อดีตนายกฯ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมหลายหมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังจะนั่งเทียนเอาตัวเลขมาอย่างไรหรือไม่นั้น
แต่ความจริงที่หมอคนหนึ่งไม่เข้าใจหรืออาจบิดเบือนก็คือ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจากโครงการรับจำนำข้าว และคณะอื่นๆ ถูกแต่งตั้งมาจากการใช้มาตรา 44 ทั้งนั้น หลายคนได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โตเชิดหน้าชูคอได้ คนในสังคมทั่วไปรับทราบดี
กระบวนการยึดทรัพย์ทุกขั้นตอนก็มาจากการอาศัยอำนาจมาตรา 44 นี่คือความจริงที่หมอนี่ไม่พูด ส่วนที่ชี้แจงว่าอดีตนายกรัฐมนตรีได้ใช้สิทธิทางศาลต่างๆ แล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรกับบรรดาการกระทำและคำสั่งต่างๆ เหล่านั้นได้ ก็เพราะมาตรา 44 มิใช่หรือ
ประชาชนทุกคนที่ต้องอยู่ใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกันโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ อันเป็นกติกาสากลที่สังคมโลกและมนุษย์ด้วยกันยอมรับได้ แต่ความวิปริตและประพฤติมิชอบของการใช้อำนาจที่อ้างกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมและตามอำเภอใจ เหล่านี้คือ “ขบวนการสมรู้ร่วมคิดที่เลวร้ายที่สุด” จำหน้าคนเหล่านี้ให้ดีและจำชื่อคนพวกนี้ให้แม่น กฎแห่งกรรมมีจริงถึงเวลานั้นคำนำหน้าอาจไม่ใช่หมออีกต่อไป
ด้านหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ เมื่อวันที่ 17ธ.ค.62 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยประจำนายกรัฐมนตรี และเคยเป็นแกนนำ นปช. หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก
“จากอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์)ถึงอดีตนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)”
มีใจความระบุว่า เรียน ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ผม นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ "แรมโบอีสาน" ซึ่งอดีตเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน
ผมได้อ่านข้อความที่ท่านโพสต์ Facebok แล้ว ผมกลับมองว่า สิ่งที่ท่านพูดสวนทางกลับสิ่งที่พวกผมทราบข่าวผ่านทางโชเชียลว่าไม่ได้เป็นจริงดังที่ท่านระบายความในใจมา เพราะเราเห็นท่านฉลองดื่มไวน์ ช็อปปิ้งกันอย่างมีควมสุขดูท่าทีไม่ได้ทุกข์ใจหรือเดือดร้อนตามที่ท่านโพสต์
แต่คนที่เมืองไทยพี่ๆน้องๆที่เคยร่วมต่อสู้กันมาส่วนหนึ่งอยู่ในคุกส่วนหนึ่งกำลังจะเข้าคุก ครอบครัวต้องเดือดร้อนมาจากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อให้ท่านและพวกพ้องท่านได้เข้าสู่ตำแหน่ง หลายชีวิตหลายครอบครัว ชะตากรรมของนักสู้ต้องเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าท่านและคนในครอบครัวท่านมากมาย บางครอบครัวของพวกเราต้องแตกสาแหรกขาด บางครอบครัวต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นหนี้สิน คนเหล่านี้สู้เพื่อใคร สู้เพราะรักใคร ทุ่มเทให้ใคร สุดท้ายสิ่งที่เขาได้รับคือความเจ็บปวด ส่วนท่านและครอบครัว ผมมั่นใจว่า ท่านอยู่ดีมีสุขในต่างประเทศมากกว่าพี่น้องผมเสียอีก
พวกผมเองต้องต่อสู้คดีต้องจ่ายค่าทนายต้องหาเงินประกันตัวต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ต่างจากเพื่อนพ้องน้องพี่คนอื่นๆ ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ช่วยตอบหน่อยว่า พวกผมและเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคนสู้เพื่อตนเองหรือสู้เพื่อใคร ใครทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ใครทำให้ระบบเผด็จการรัฐสภาพวกมากลากไป ใครคิดออกพ.ร.บ.นิรโทษสุดซอย
ทั้งที่พวกผม นปช.ทั้งคุณจตุพร พรหมพันธุ์ และคณะพวกเราส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในบ้านเมือง พวกผมเคยเรียนท่านอดีตนายกฯ แล้วท่านก็ไม่ฟัง แต่ท่านฟังแค่พี่สาวคุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และคนข้างกายท่านให้ข้อมูลกับท่านในทางที่ผิด จนเกิดกระแสต่อต้านมากมายทำให้ท่านต้องตัดสินใจยุบสภาฯ
ผมยังมีอะไรอีกมากมายที่ผมอยากจะเขียนถึงท่านด้วยความปรารถนาดี ผมไม่อยากเห็นอดีตนายกฯเอาประเด็นเรื่องส่วนตัวมาพูด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่พวกท่านดำรงตำแหน่งในบ้านเมือง ท่านทำงานเพื่อใคร เพื่อคนในตระกูลหรือเพื่อประชาชนคนไทย สิ่งต่างๆ ที่ผมไม่อยากจะเอ่ย ที่ผมรับรู้มากมาย ผมไม่อยากจะบรรยายออกมาทั้งหมด
ท่านอย่าไปโทษ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" "ท่านอย่าไปโทษคสช.หรือมาตรา44" เลย ยิ่งท่านโทษ ประชาชนจะมองว่าท่านจะเป็นคนเห็นแก่ตัว
ปัญหาที่เกิดขึ้น ท่านอดีตนายกยิ่งลักษณ์ฯ ลองไตร่ตรองและตั้งสติให้ดีว่าเกิดขึ้นจากปัจจัยอะไร เพราะอะไร ทหารจึงต้องเข้ามาทำการยึดอำนาจ ควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟ ใครทำให้เกิดม็อบ ทำให้เกิดความขัดแย้งในบ้านนี้เมืองนี้ ผมเรียนว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย ผมเชื่อในเรื่องข้อเท็จจริงว่า ถ้าใจเราบริสุทธิ์ใครมาทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าการกระทำจิตใจเราบริสุทธิ์ จริงใจ ไม่โกหกตัวเองและประชาชน
ก่อนที่ท่านจะพูดอะไร เรื่องอะไร ตัดพ้อน้อยใจอะไร และเจ็บปวดหัวใจ น้อยใจในชะตากรรมชีวิตอย่างไร ท่านอย่าลืมว่ายังมีคนที่ทุกข์ยากเจ็บปวดชีวิตและเดือดร้อนมากกว่าท่านอีก หลายคน อาทิเช่น ท่านอดีตรมต.บุญทรง เตริยาภิรมย์ ท่านอดีตรมช.ภูมิ สาระผล เพื่อนพ้องน้องพี่นปช. คนเสื้อแดงและอีกหลายๆคนที่ต้องรับชะตากรรมในคุกกำลังจะเดินเข้าคุก หรือหนีออกนอกประเทศ
ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องขอร้องท่านด้วยใจจริงในฐานะผู้เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาท่าน บ้านนี้เมืองนี้ควรจะหยุดวาทกรรม หรือหยุดสร้างความแตกแยก หรือหยุดปลุกปั่นกันให้เกิดปัญหาวุ่นวายกันอีกต่อไป แต่ถ้ายังใช้วาทกรรมในการที่จะให้ประชาชนเลือกข้างและเกลียดชังกัน ไม่ได้มีผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองอะไรเลยมีแต่จะทำให้แผ่นดินนี้มีแต่ความวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด ขอให้ท่านเสียสละ หยุดเคลื่อนไหวเพื่อประเทศชาติ ประชาชนคนไทยจะได้มีความสุขเสียทีครับ.
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 17ธ.ค.62 กรมบังคับคดี ออกเอกสารข่าวชี้แจงการใช้มาตรการบังคับทางปกครองกรณีจำนำข้าว ภายหลังมีข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ว่าทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ถูกกรมบังคับคดียึดไว้และมีการทยอยขายทอดตลาดไปแล้ว
กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งที่ 1351/2559 ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท และตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 56/2559 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ได้กำหนดให้กรมบังคับคดีเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองที่หน่วยงานของรัฐออกคำสั่งให้มีการบังคับทางปกครองต่อผู้ต้องรับผิดตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต 2548/2549 จนถึงปีการผลิต 2556/2557 ทำให้กรมบังคับคดีมีหน้าที่ต้องดำเนินการยึด อายัด ทรัพย์สินของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามที่กระทรวงการคลังได้ร้องขอให้ดำเนินการ
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2560 กระทรวงการคลังได้ขอให้กรมบังคับคดี ดำเนินการบังคับกับทรัพย์สินของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยขออายัดเงินฝากในบัญชีธนาคาร หน่วยลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์และกองทุนต่างๆ ซึ่งมีการส่งเงินตามคำสั่งอายัดมาเพียงจำนวน 7,937,174.58 บาท และได้มีการจ่ายเงินให้กระทรวงการคลังไปแล้ว
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ขอให้กรมบังคับคดี ยึดที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด อีกหลายรายการ รวมราคาประเมินทรัพย์สินเป็นเงิน 199,230,779.50 บาท ซึ่งปัจจุบันมีทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดได้แล้ว 3 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 49,510,00 บาท และทรัพย์รายการที่เหลืออยู่ในขั้นตอนของการประกาศขายทอดตลาด
การดำเนินการของกรมบังคับคดีเป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แม้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงการคลังข้างต้น แต่เนื่องจากศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวและขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ดังนั้นกรมบังคับคดีจึงต้องดำเนินการตามมาตรการบังคับทางปกครองต่อไป โดยการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองของกระทรวงการคลัง
ความจริงเรื่องนี้ ถ้ายังจำกันได้ รัฐบาล คสช.เลือกที่จะใช้คำสั่งทางปกครองตามกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ดำเนินการให้มีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น แทนที่จะใช้วิธีฟ้องทางแพ่ง เพื่อให้มีคำพิพากษา ซึ่งก็เป็นอีกทางหนึ่ง และนายวิษณุ เครืองาม ก็เคยออกมาชี้แจงว่า เคยใช้คำสั่งการปกครองในลักษณะนี้มาแล้ว กับกรณีที่คล้ายคลึงกัน จึงสามารถทำได้
ไม่น่าเชื่อว่า “ปม” ที่ดูเหมือนจบไปแล้ว จะกลับมาเป็นประเด็นรื้อฟื้น หลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ รู้สึกว่าตัวเองเดือดร้อน จากการที่ต้องถูกยึดทรัพย์ ตามคำสั่งทางปกครอง เพราะการกระทำในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง