ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เพื่อนเราเผาเรือน!! "ปิยบุตร" ชิ่งเอาตัวรอดจากการระดม "แฟลชม็อบ" ที่สกายวอล์ก ปล่อย "ธนาธร-ช่อ" ต้องลุ้นโทษอาญา ในฐานะผู้จัดการชุมนุม
หลัง กกต.มีมติ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ปรากฏว่าทางพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ว่า "#อนาคตใหม่ # กลัวที่ไหน" ... จากนั้น "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรค ก็แถลงข่าวนัดชุมนุม ที่ สกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน ในวันที่ 14 ธ.ค. เวลา 17.00-18.00 น. โดยเรียกการชุมนุมครั้งนี้ว่า "แฟลชม็อบ"
ขณะที่ "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช ในฐานะโฆษกพรรค ก็ออกมาเชิญชวนให้มาร่วมแสดงพลัง ทั้งจากการแถลงข่าว และโพสต์ผ่านโซเชียลฯ ... ให้มันรู้ไปว่าพรรคที่ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ พรรคที่อภิปรายอย่างมีเนื้อหา พรรคที่เปิดเผยโปร่งใสในบัญชีรายรับรายจ่าย พรรคที่รวบรวมผู้คนที่ทนไม่ไหวกับสภาพสังคมไทย ต่อสู้ในสภาอย่างสันติ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกหลาน ไม่มีที่หยัดที่ยืนในประเทศนี้ #อนาคตใหม่... และในวันที่มีการชุมนุม ก็ยังโพสต์ต่อเนื่องว่า ...“จงเดินอย่าเดินเดียว จงเดินร่วมกับมวลชน” ขอบคุณประชาชนกว่าหมื่นคนที่มารวมตัวแสดงพลัง 14 ธันวา 62 #ไม่ถอย ไม่ทน #กลัวที่ไหน ให้มันรู้ไปว่าใครคือเจ้าของประเทศ...
ถึงตอนนี้คงไม่ต้องพูดกันแล้วว่า เป็นการปลุกระดมประชาชนมาชุมนุม เพื่อ "ธนาธร และพรรคอนาคตใหม่" หรือไม่ !!
แต่ "ช่อ" ก็ยังออกมาบอกว่า ประชาชนที่ออกมาครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อปกป้องหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่มาเพราะไม่อาจทนกับความอยุติธรรม และการดำเนินงานของรัฐบาลชุดนี้ จึงมาแสดงออกว่า...จะไม่ทนอีกแล้ว!! และยังย้ำว่า คนที่ออกมาชุมนุม ทำกิจกรรมอย่างเป็นระเบียบ ก่อนแยกย้ายกันกลับโดยสงบ โดยไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่ได้เป็นการทำผิดกฎหมาย แต่เป็นการใช้สิทธิที่ประชาชนพึงมี ตามรัฐธรรมนูญที่ คสช. เป็นผู้ร่างขึ้นมาเอง ...
เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงนี้ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ในฐานะเลขาธิการพรรค ไม่ได้ออกมาเชิญชวนให้ไปร่วมชุมนุมโดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ”ธนาธร-พรรณิการ์” เรียกระดมไป ส่วนตัวเขาเล่นบท ออกมาขู่ว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดี กกต. ตามมาตรา 157 ที่รวบรัดพิจารณา "คดีเงินกู้" โดยไม่ให้พรรคได้มีโอกาสชี้แจง ... แม้ในช่วงที่มีการชุมนุม เขาจะมาร่วมปราศรัยด้วยก็ตาม
เพราะเขารู้ว่าการชุมนุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องตามมาเช็กบิลแน่นอน ในความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่มีโทษทางอาญา ทั้งโทษปรับ และจำคุก ...โดยจะเอาผิดกับ "ผู้จัดการชุมนุม" ไม่ใช่ผู้ปราศรัย เว้นแต่ว่าการปราศรัยนั้นเข้าข่าย "ยุยง ปลุกปั่น" ซึ่งเขาต้องระมัดระวังคำพูดอยู่แล้ว
ล่าสุด "พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา" ผบช.น. ได้ออกมาแถลงข่าวยืนยันแล้วว่า... ก่อนการชุมนุมในวันที่ 14ธ.ค. "ผู้จัดการชุมนุม" ไม่ได้แจ้งขออนุญาตมา ... ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ทราบว่า ใครเป็นผู้จัดการชุมนุม ผู้ร่วมจัดการชุมนุม รวมถึงพิจารณาความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ
โดยข้อหาที่อาจเข้าข่ายความผิดชัดเจน คือ 1. ชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 2. ชุมนุมในลักษณะกีดขวางการใช้บริการสาธารณะ และ 3. ผู้จัดการชุมนุมไม่ควบคุมผู้มาร่วมชุมนุม ทำให้เกิดความไม่สะดวกต่อผู้ใช้ทางสาธารณะ ... ส่วนจะมีใครเข้าข่าย"ผู้จัดการชุมนุมและผู้ร่วมจัดการชุมนุม" บ้างนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา ... สำหรับความผิดตาม มาตรา 116 (เรื่องยุยง ปลุกปั่น) ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบ
ส่วนใครที่จะถูกออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาบ้างนั้น ขอเวลาให้พนักงานสอบสวนดำเนินการอย่างรอบคอบก่อน แต่ยืนยันว่าจะทำให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ ตามมาตรา 4 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ได้ให้คำนิยามของ "ผู้จัดการชุมนุม" ไว้ว่า...หมายถึง ผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะและให้หมายความรวมถึงผู้ประสงค์จะจัดงานชุมนุมสาธารณะ และผู้ซึ่งเชิญชวนหรือนัดให้ผู้อื่นมาร่วมการชุมนุมสาธารณะโดยแสดงออก หรือมีพฤติการณ์ทำให้เข้าใจว่า ตนเป็นผู้จัดหรือร่วมจัดให้มีการชุมนุมนั้น.
ในมุมมองของนักกฎหมายอย่าง "สมชาย แสวงการ" เห็นว่า การชุมนุมทางการเมืองที่ "สกายวอล์ก" ครั้งนี้ ต้องมีองค์ประกอบคือ 1. ผู้จัดการการชุมนุม 2. ต้องมีการขออนุญาตชุมนุม และ 3. มีข้อห้ามชุมนุมในระยะที่ต้องห่างจากเขตพระราชวังไม่น้อยกว่า 150 เมตร
ทั้ง 3 ข้อนี้ มีหลักฐานยืนยันว่า "ธนาธร" และ "พรรณิการ์" ได้โฆษณาชักจูง หรือให้สัมภาษณ์ หรือกระทำโดยวิธีใดนัดหมายคนมาร่วมชุมนุม โดยเท่ากับเป็น "ผู้จัดการชุมนุม" และไม่พบว่ามีการขออนุญาตและได้รับอนุญาตการชุมนุมการเมืองดังกล่าว อีกทั้งจุดที่จัดการชุมนุมบนสกายวอล์ก นั้นมีความสุ่มเสี่ยงที่จะอยู่ในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน (วังสระปทุม) ที่ต้องห้ามการชุมนุมในบริเวณ 150 เมตร จากพระราชวัง ... จึงเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ 2558
ฟันธงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีหมายเรียกให้ "ธนาธรและพรรณิการ์" ไปรับทราบข้อกล่าวหาแน่นอน ... ส่วน "ปิยบุตร"นั้น ยังไม่เห็นหลักฐานยืนยันในสื่อว่าเป็นผู้เข้าข่ายจัดการชุมนุม นอกจากการไปเข้าร่วมปราศัย จึงเห็นว่าคงพลิ้วเอาตัวรอดไปได้ตามประสานักกฎหมาย ...
ที่ผ่านมาคนในพรรคอนาคตใหม่มักค่อนแคะ "ปิยบุตร" ว่าเป็นนักกฎหมายในห้องแอร์ ไม่เคยออกพื้นที่จริง จึงเสียท่ามา 2 คดีซ้อน ทั้งเรื่องธนาธรถือหุ้นสื่อ และพรรคกู้เงินธนาธร ... แต่ถ้าเรื่อง"แฟลชม็อบ" ตำรวจออกหมายเรียกแค่ "ธนาธร และพรรณิการ์" โดยไม่เรียก "ปิยบุตร" แล้วละก็ คงได้รู้กันเสียทีว่า เขาก็เป็นนักกฎหมายที่ "เอาตัวรอด" เก่งเหมือนกัน !!
**ไหงเป็นงี้ ! หนีคดีโกงจำนำข้าวเสียหาย 3.5 หมื่นล้าน “ยิ่งลักษณ์”ดรามา มาลงที่“ลุง”และ ม.44 ครวญวันนี้หน้าชื่นอกตรม เจ็บปวด และสะเทือนใจ เห็นทรัพย์สมบัติถูกประมูลขายทีละชิ้น ทีละชิ้น สูญทั้งบ้าน บัญชีธนาคาร
หายไปนาน ปู “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีออกนอกประเทศ โผล่โพสต์เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra โอดครวญว่า หลายคนคงคิดว่าช่วงนี้ดิฉันทำไมเงียบหายไป ยังมีความสุขดีอยู่มั้ย บางครั้งการพยายามไม่คิดมาก ทำใจให้สงบ มีความสุขก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่ความสุขเหล่านั้นก็อยู่บนความสุขที่ "หน้าชื่นอกตรม" เพราะ นอกจากตัวเองจะต้องพลัดพรากจากลูก จากครอบครัวและจากพี่น้องประชาชนมาอยู่ต่างแดนแล้วยังต้องสูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน บัญชีธนาคาร รวมถึงทรัพย์สมบัติส่วนตัว ที่ตนเองหามาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนมาเป็นนายกรัฐมนตรี และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตอบแทนดิฉัน
ดิฉันสูญเสียบ้านที่ถูกยึด และขณะนี้ทรัพย์สินของดิฉันก็กำลังถูกกรมบังคับคดีประมูลชิ้นต่อชิ้น ดิฉันใช้ข้อต่อสู้ทางกฎหมายทุกรูปแบบแล้ว แต่ก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ เพราะนายกรัฐมนตรี ชื่อ "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ได้ใช้อำนาจตาม "มาตรา 44" ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยึดอำนาจ และจนถึงปัจจุบัน มาตรา 44 ก็ยังคุ้มครองเจ้าหน้าที่อยู่ ทุกคนจึงเร่งดำเนินการกับคดีดิฉัน โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เพราะจริงๆ แล้วคดีต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองที่ถึงที่สุด ว่าดิฉันแพ้คดีก่อน จึงจะสามารถนำทรัพย์เหล่านั้นมาขายทอดตลาดได้ ... เป็นการถูกกระทำที่ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์ ซึ่งการนำเอาข้ออ้างของ มาตรา 44 มาอยู่เหนือคำพิพากษาของศาล นอกจากไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครแล้ว ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผลกระทบของการใช้ มาตรา 44 ให้มีอำนาจเหนือรัฏฐาธิปัตย์ ถือเป็นการทำลายสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย
วันนี้ ดิฉันจึงอยากจะขออนุญาตเล่าความในใจว่า ดิฉันเองจะต้องต่อสู้เรื่องของการถูกประมูลทรัพย์สินทุกชิ้นที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจนัก แม้กระทั่ง "ทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ให้มา" ดิฉันก็ไม่สามารถที่จะปกป้องเอาไว้ได้ ... ดิฉันต้องอดทนต่อความเจ็บปวด และสะเทือนใจทุกครั้งที่รับทราบว่าทรัพย์ถูกทยอยขายไปทีละชิ้น ทีละชิ้น บางครั้งดิฉันก็ต้องปลอบใจตัวเอง และบอกกับตัวเองว่า หากเรายังเศร้า และจมปลักอยู่กับอดีตเราก็จะไม่มีความสุข เรายังต้องมีภาระและดูแลอีกหลายชีวิตที่เขาฝากความหวังไว้กับเรา
ดังนั้น ดิฉันจึงต้องพยายามยืน และมองไปข้างหน้าโดยมองอดีตเป็นประสบการณ์ และคนเราควรจะอยู่เพื่อวันนี้และเพื่ออนาคต ไม่เอาอดีตมาทำให้เราไม่สามารถจะหลุดพ้น หรือเดินไปข้างหน้าไม่ได้ เพราะวันนี้ดิฉันพยายามที่จะบอกว่า ดิฉันอยู่กับปัจจุบันและอยู่กับอนาคต เราจะต้องเข้มแข็งและสู้ต่อไป แต่สิ่งหนึ่งในอดีตที่ดิฉันไม่เคยลืมก็คือ ความไว้วางใจที่พี่น้องประชาชนมีต่อดิฉันโดยเสมอมาค่ะ # ม.44 กฎหมายเลือกข้าง #กฎหมายเลือกข้าง
แน่นอนว่า โพสต์นี้ได้รับความเห็นอกเห็นใจอย่างล้นหลามจากคนบนโลกโซเชียลฯ ฝ่ายที่รัก“ทักษิณ”และ สนับสนุน"ยิ่งลักษณ์" แต่ความเสียหาย 3.5 หมื่นล้าน ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยที่ ยิ่งลักษณ์ มีอำนาจคุมรัฐบาล ยิ่งลักษณ์กลับไม่พูดถึง
คำพระท่านว่า กรรมเกิดจากการกระทำ ผลกรรมย่อมมาจากสิ่งที่เรากระทำ หากไม่มีความเสียหายจากคดีรับจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้าน ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้เสียหาย การฟ้องคดี การสืบทรัพย์ จนมาถึงขายทอดตลาด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นขั้นตอนที่ดำเนินมาตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งถ้าจำได้ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 ศาลปกครองยกคำขอทุเลาบังคับคดีของ“ยิ่งลักษณ์”หลังยื่นคำร้องขอทุเลาการยึดอายัดเพื่อชดใช้ความเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาท หลังจากศาลปกครองมีคำสั่งยกคำร้อง กรมบังคับคดี มีหน้าที่ทำตามขั้นตอนของกฎหมายมาตลอด
เสียดายที่"ยิ่งลักษณ์"ไม่อยู่สู้คดีต่อ จะได้อยู่ปกป้องทรัพย์สิน มรดกของพ่อแม่ที่ว่า แต่เลือกที่จะหนีไปตามช่องทางธรรมชาติซะก่อน
ภาษีประชาชน และ ความเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ไม่รู้จะเทียบกันได้มั้ย กับสมบัติของยิ่งลักษณ์ กลับไม่คิดบ้าง
หนีคดีโกงจำนำข้าวแท้ๆ ก็มาลงที่ "ลุง" โทษ ม.44 ซะงั้น .