“รสนา” โวยรัฐออกกฎหมาย “วิธีการงบประมาณ” เจตนาอำพรางถ่ายโอนรัฐวิสาหกิจและทรัพย์สินให้เอกชน โดยแก้ไขนิยามจาก 4 ชั้นเหลือแค่ 2 ชั้น เหมือนกับการแยกร่างแล้วมาประกอบใหม่ภายหลัง เป็นโรดแมป คสช.ของแท้ที่ไม่ได้ประกาศ
วันนี้ (20 ก.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กตั้งคำถามดักคอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ... ใน สนช.วันที่ 20 ก.ค.นี้ ว่ามีเจตนาซ่อนเร้น ต้องการเปิดช่องให้ให้ถ่ายโอนทรัพย์สินของรัฐวิสากิจและสิทธิพิเศษไปให้เอกชนในอนาคตหรือไม่ โดยการแก้ไขนิยามรัฐวิสาหกิจ จาก 4 ขั้นเหลือแค่ 2 ขั้น เหมือนกับการแยกร่างอำพรางแล้วมาประกอบใหม่ภายหลัง
“ถ่ายโอนทรัพย์สินรัฐให้เอกชนโดยกฎหมาย โรดแมป คสช.ที่ไม่ได้ประกาศ !?!”
“วันศุกร์ที่ 20 ก.ค. 2561 นี้ สนช.จะพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ... โดยสาระสำคัญในการแก้ไข คือ นิยามของรัฐวิสาหกิจ ที่ใน พ.ร.บ.เดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2502 นิยามรัฐวิสาหกิจไว้ 4 ชั้น คือ แม่, ลูก, หลาน, เหลน ร่าง พ.ร.บ.ใหม่นี้แก้ให้เหลือแค่ ชั้น แม่ และลูกเท่านั้น
การนิยามรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายเดิมใช้สัดส่วนหุ้นของรัฐที่ถือในบริษัทแต่ละชั้นว่าเกิน 50% หรือไม่ เป็นตัวกำหนดความเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีความรัดกุมอยู่แล้ว แต่รัฐบาล คสช.+สนช กำลังแก้ไขโดยตัดรัฐวิสาหกิจให้เหลือแค่ 2 ชั้น โดยไม่พิจารณาว่ารัฐจะมีหุ้นในบริษัทนั้นๆ เกิน 50% หรือไม่ หรือยังมีสิทธิผูกขาดสิทธิพิเศษของรัฐที่ติดไปกับบริษัทเหล่านั้นด้วยหรือไม่
การแก้ไขนิยามรัฐวิสาหกิจเช่นนี้ จะเป็นการปลดล็อกบริษัทที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นหลานและเหลนออกไปเป็นเอกชนโดยอาจพ่วงเอาสาธารณสมบัติ และอำนาจมหาชนที่บริษัทแม่ หรือบริษัทลูกถ่ายโอนไปเก็บไว้ที่บริษัทเหล่านั้นในชั้นหลานเเละเหลนเอาไว้ก่อนก็เป็นได้ ใช่หรือไม่
คำอธิบายที่ต้องแก้ไขนิยามตัดบริษัทชั้นหลานและเหลนออกไป ก็เพื่อให้บริษัทในลำดับที่มีความห่างจากการเป็นรัฐวิสาหกิจให้มีความเป็นอิสระคล่องตัว ทั้งที่กฎหมายเดิมที่กำหนดความเป็นรัฐวิสาหกิจนั้นก็เหมาะสมอยู่แล้ว จึงมีข้อสังเกตว่าการแก้ไขนิยามเช่นนี้ นอกจากเพื่อไม่ต้องถูกตรวจสอบโดย สตง.ไม่ต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายว่าด้วยการทำสัญญากับหน่วยงานรัฐที่รู้จักกันในชื่อกฎหมายฮั้วแล้ว สิ่งที่ต้องการจริงๆ คือการถ่ายโอนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติ และสิทธิพิเศษของรัฐออกไปเป็นของเอกชนหรือไม่ กรณีเช่นนี้ทำให้มีคำถามว่าเป็น “การแปรรูปอำพราง” ที่ต้องการหลบเลี่ยงพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ใช่หรือไม่
การแปรรูปกิจการของรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 นั้น ต้องมีการแยกสาธารณสมบัติ สิทธิพิเศษต่างๆ และอำนาจมหาชนออกเสียก่อน แม้กฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจน แต่ในการแปรรูป ปตท.ที่ผ่านมาก็มีการหลบเลี่ยงไม่ปฏิบัติ ต่อเมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาคดีการแปรรูป ปตท.ที่ไม่ได้แยกสาธารณสมบัติ สิทธิและอำนาจมหาชนของรัฐคืนให้กระทรวงการคลังก่อนนำหุ้นไปกระจายในตลาดหลักทรัพย์ และมีคำสั่งให้แบ่งแยกทรัพย์สิน สิทธิและอำนาจมหาชนออกจาก ปตท.คืนให้กับกระทรวงการคลัง
ตามคำพิพากษาเมื่อมีการแปรรูปแล้ว ปตท.ไม่ถือเป็นองคาพยพของรัฐอีกต่อไป แม้รัฐยังถือหุ้นส่วนข้างมากอยู่ก็ตาม เพราะไม่มีความแน่นอนว่ารัฐจะคงการถือหุ้นส่วนข้างมากไว้จนตลอดไปหรือไม่ ดังนั้น ปตท.จึงไม่สามารถครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นทรัพย์สินเพื่อการใช้ร่วมกันของคนในชาติ และไม่สามารถคงสิทธิและอำนาจมหาชนของรัฐเอาไว้ด้วย เพราะจะเกิดความไม่เป็นธรรมต่อเอกชนรายอื่นที่ไม่มีสิทธิและอำนาจรัฐ
การแก้นิยามของกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณที่ให้รัฐวิสาหกิจลดเหลือแค่ 2 ชั้น จึงอาจเป็นการเปิดช่องให้มีการถ่ายโอนทรัพย์สินและสิทธิพิเศษบางประการไปไว้ในบริษัทชั้นหลานและเหลนก่อน ซึ่งจะกลายเป็นบริษัทเอกชนไปโดยผลของกฎหมายได้ ใช่หรือไม่
ที่น่าสนใจคือ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะที่ได้ผ่านสภา สนช.เป็นกฎหมายไปแล้ว ได้นิยามรัฐวิสาหกิจไว้ 3 ชั้น แต่ร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ กลับแก้ไขให้เหลือแค่ 2 ชั้น เพราะเหตุใด?
เพราะได้วางเส้นทางให้ไปเชื่อมต่อกับอีกร่างกฎหมายหนึ่งเพื่อพรางสายตาประชาชนใช่หรือไม่
ร่างที่พูดถึงคือ “ร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับการบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ...” เรียกสั้นๆ ว่า “ร่าง พ.ร.บ. บรรษัทวิสาหกิจ (ซูเปอร์โฮลดิ้ง)” ที่ยังค้างอยู่ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการใน สนช. เพราะถูกสหภาพรัฐวิสาหกิจ และประชาชนคัดค้านอย่างหนักจนหยุดชะงักไปว่าเป็นกฎหมายเพื่อทำลายความเป็นรัฐวิสาหกิจ และเป็นช่องทางในการนำรัฐวิสาหกิจไปหาประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์ และอาจเปิดทางให้เกิดการทุจริตเหมือนกรณี บริษัท 1 MDB ของมาเลเซีย ที่มีข่าวฉาวโฉ่ที่อดีตนายกรัฐมนตรีสามารถถ่ายโอนทรัพย์สินเกือบ 1 หมื่นล้านบาทเข้าบัญชีตัวเองจากบริษัทที่เป็นซูเปอร์โฮลดิ้งแบบบรรษัทวิสาหกิจในร่างกฎหมายดังกล่าว
ที่ต้องจับตากันอย่างจริงจัง คือ หากร่างกฎหมายบรรษัทวิสาหกิจจะถูกหักดิบผ่านออกมาเป็นกฎหมายในสภาเสียงเอกฉันท์อย่าง สนช.ที่ไม่มีฝ่ายค้าน เป็นลำดับต่อจากร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณหรือไม่ เชื่อแน่ว่าร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ... สนช.จะโหวตผ่านเป็นกฎหมายในวันศุกร์ที่ 20 ก.ค นี้อย่างแน่นอน
สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ กฎหมาย 2 ฉบับนี้ เหมือนการแยกชิ้นส่วนออกจากกันก่อน ค่อยนำมาประกอบร่างกันภายหลัง นิยามรัฐวิสาหกิจในร่างพรบ.บรรษัทวิสาหกิจ จะมี 2 ชั้นเหมือนร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ในร่างกฎหมายฉบับนี้ บรรษัทวิสาหกิจจะเป็นชั้นแม่ ส่วนรัฐวิสาหกิจ 11 แห่ง (ปตท. การบินไทย การท่าอากาศยาน ทีโอที กสท การไปรษณีย์ไทย เป็นต้น) ที่จะโอนจากกระทรวงการคลังมาอยู่ภายใต้บรรษัทวิสาหกิจ จะกลายเป็นลูก ดังนั้น บรรดาลูกของบริษัทเหล่านี้จะหลุดจากการเป็นรัฐวิสาหกิจโดยผลของกฎหมายทันที ยกตัวอย่างบรรดาบริษัทลูกและหลานของปตทที่มีอยู่อย่างมากมาย เช่น ปตท.สผ. PTTOR ฯลฯ จะกลายเป็นบริษัทหลานและเหลน และจะกลายเป็นบริษัทเอกชนไปโดยผลของกฎหมาย ไม่ว่ารัฐจะมีหุ้นเกิน 50% หรือไม่
กรณีความพยายามที่จะแยกท่อก๊าซมาตั้งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. แต่ถูกคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินวินิจฉัยว่าท่อในทะเลต้องคืนให้รัฐ เรื่องจึงคาอยู่ สมมติมีการหักดิบตั้งบริษัทท่อก๊าซเป็นบริษัทลูกสำเร็จ บริษัทท่อก๊าซก็จะกลายเป็นบริษัทหลาน และโดยผลของกฎหมายก็จะกลายเป็นทรัพย์สินของเอกชน ใช่หรือไม่
คสช.+สนช.กำลังเดินหน้าอย่างเต็มสูบในการเข็นกฎหมายถ่ายโอนทรัพย์สินต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจในแต่ละชั้นออกไปเป็นของทรัพย์สินของเอกชนโดยลำดับ ใช่หรือไม่
และเหล่านี้คือโรดแมปของแท้ที่ คสช.ไม่ได้ประกาศ แต่กำลังขมีขมันเดินหน้าอย่างเต็มสูบให้สำเร็จก่อนจะถึงโรดแมปเลือกตั้ง ใช่หรือไม่”