ถกปฏิรูปตำรวจเดินหน้าพิจารณาเรียกคืนตำรวจติดตามนักการเมือง-ผู้มีอิทธิพลกลับมาเพิ่มอัตรากำลังในโรงพักทั่วประเทศที่ขาดแคลน และให้ทบทวนอัตราฝากพิเศษใน กอ.รมน.ให้เหลือที่ปฏิบัติหน้าที่ตามความเป็นจริง
วันนี้ (12 ก.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายมีชย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเผยความคืบหน้าผลการประชุมว่าได้มีการพิจารณาเรียกกลับตำรวจติดตามนักการเมืองและผู้มีอิทธิพล รวมไปถึงพวกที่มีอัตราพิเศษช่วยราชการใน กอ.รมน.ให้เรียกกลับคืนกลับมาเพิ่มอัตรากำลังพลในโรงพักทั่วประเทศ
“Change in action (20)
เรียกกลับตำรวจติดตามอดีตนักการเมืองและผู้กว้างขวาง / ให้ กอ.รมน.ทบทวนคืนอัตรากำลังพลช่วยราชการที่ไม่ได้ทำงานจริง
เพื่อเป็นมาตรการสนับสนุนบทเฉพาะกาลที่กำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติบรรจุกำลังพลจริงให้แก่สถานีตำรวจหรือโรงพัก 1,482 แห่งทั่วประเทศ และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เต็มตามแผนกรอบอัตรากำลัง ภายใน 1 ปีนับแต่ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ ฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณากรณีที่มีข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการหน่วยงานอื่นหรือปฏิบัติหน้าที่อื่นนอกเหนือจากหน้าที่ตำรวจโดยตรง ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเสียกำลังพลจริงไปเป็นจำนวนไม่น้อยในขณะที่ยังต้องแบกรับงบประมาณเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ของนายตำรวจเหล่านั้นอยู่
เห็นควรกำหนดมาตรการเพิ่มไว้ในบทเฉพาะกาล ดังนี้
- ห้ามมิให้สั่งการให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานีตำรวจ และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ไปช่วยราชการยังหน่วยงานใด ยกเว้นแต่จะมีการตั้งอัตรากำลังทดแทน
- กรณีที่มีข้าราชการตำรวจส่วนกลางไปช่วยราชการที่ กอ.รมน.ส่วนกลาง (สวนรื่นฤดี) รวมทั้งสิ้น 253 อัตรา พบว่ามีการไปปฏิบัติราชการที่ กอ.รมน.ส่วนกลางเพียง 14 อัตราเท่านั้น ที่เหลือยังคงเป็นอัตราฝากอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่มีสายงานที่ชัดเจน งานค่อนข้างน้อย และส่วนใหญ่อยู่ในส่วนอำนวยการหรือธุรการ ที่ประชุมได้เสนอความเห็นไปยังกอ.รมน.ขอให้ทบทวนนโยบายนี้ภายใต้หลักการที่ว่าควรให้เหลือเป็นการไปช่วยราชการ กอ.รมน.ส่วนกลางเฉพาะอัตราที่ไปปฏิบัติราชการจริงที่กอ.รมน.ส่วนกลางเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าไรก็ตาม กำลังพลที่เป็นอัตราพิเศษฝากไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรยกเลิกและคืนให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำไปบรรจุในสถานีตำรวจและกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดที่ยังขาดแคลนอยู่ ซึ่ง กอ.รมน.รับข้อเสนอนี้ไปและจะได้จัดประชุมหารือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในสัปดาห์หน้า ได้ข้อสรุปประการใดจะนำมาเขียนไว้ให้ชัดเจนในบทเฉพาะกาลต่อไป
- ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีข้าราชการตำรวจไปติดตามดูแลบุคคลที่เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และบุคคลผู้กว้างขวางหรือผู้มีอิทธิพล อย่างไม่เป็นทางการ จึงเห็นควรกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาผู้ทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดไม่มาปฏิบัติงานที่หน่วยเพราะไปปฏิบัติภารกิจนอกเหนือหน้าที่และอำนาจอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าวเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน รายงานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
- ความในย่อหน้าก่อนไม่รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่อารักขาบุคคลสำคัญต่างๆ ที่มีตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดให้มีการอารักขาหรือบุคคลดังกล่าวดำเนินการขอรับการอารักขามาอย่างเป็นทางการ ตามกฎข้อบังคับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ทั้งนี้ เพื่อให้ได้กำลังพลของตำรวจกลับมาปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีตำรวจ 1,482 แห่ง และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของภารกิจตำรวจแท้ที่ใกล้ชิดและให้บริการประชาชนโดยตรง”