เมืองไทย 360 องศา
คำพูดล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ย้ำว่า “ใครจะดูดก็ดูดไป แต่ตัวเองจะไม่ไปดูดให้เมื่อยปาก” หลังจากถูกสื่อถามเรื่องการดูดอดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นเข้ามายังพรรคพลังประชารัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเขาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
เป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าต้องการ “เคลียร์ชัด” ว่า เขาไม่เกี่ยวข้องกับ “พลังดูด” ดังกล่าวหากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน อีกความหมายหนึ่งมันเหมือนกับต้องการสื่อให้เห็นว่า “ไม่จำเป็นต้องไปดูดใครให้เสียเวลา เพราะเวลานี้มีแต่คนอยากเข้ามา (ให้ดูด) มากมาย” อะไรประมาณนั้นหรือเปล่า
หากเป็นเรื่องหลังก็ถือว่าเวลานี้ทุกอย่าง “มั่นใจมาก” เกือบเต็มร้อยแล้ว และแม้ว่าเวลานี้ในทางกฎหมายถือว่า “พลังประชารัฐ” ยังไม่มีตัวตนอย่างสมบูรณ์ ยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการจัดตั้งพรรคเท่านั้น ขณะเดียวกัน ยังไม่รู้อีกด้วยว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื่องหลังแท้จริง เพราะที่ผ่านมามีเพียงรายงานข่าวว่ามีชื่อของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้าไปเกี่ยวข้อง มีชื่อของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายอุตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น แต่นาทีนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ จริงหรือไม่จริงยังไม่ถึงเวลาสำหรับการประกาศเปิดตัวกันอย่างเป็นทางการ
สิ่งที่น่าจะเป็นการยืนยันให้เห็นถึงความมั่นใจของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผู้นี้ ก็คือ “ข่าวพรรคเพื่อไทยเลือดไหลไม่หยุด” อดีต ส.ส.คนสำคัญหลายคนต่างทยอยออกไป สาเหตุสำคัญก็คือ “มองไม่เห็นอนาคต” ทางหนึ่งเป็นเพราะเจ้าของพรรค คือ ทักษิณ ชินวัตร “สู้แล้วไม่ชนะ” จึงไม่ลงทุนเพิ่ม ระบบ “ท่อน้ำเลี้ยง” ก็หยุดไหลมานานแล้ว
ในประเด็นนี้หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ถือว่ามีส่วนจริงไม่น้อย เพราะเวลานี้ทั้งตัว ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างต้องหนีคดี โดย ทักษิณ นั้นล่าสุดโดนหมายจับรวมทั้งหมดเป็น 4 ใบจาก 4 คดี และมีโอกาสถูกพิพากษาจำคุกสูงไม่น้อยเลย เนื่องจากเวลานี้กำลังเริ่มเดินหน้าพิจารณาคดีลับหลังอีกอย่างน้อย 1-2 คดีแล้วตามกระบวนการพิจารณาคดีกฎหมายใหม่ที่เริ่มบังคับใช้แล้ว ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ ก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณายึดทรัพย์ทางปกครองแล้ว
นอกจากนี้ ที่สำคัญก็คือ เส้นทางที่ “สองพี่น้อง” ชินวัตรคู่นี้จะกลับเข้ามาได้ นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายรัฐบาล คสช.ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเพลี่ยงพล้ำเสื่อมความนิยม
แต่กลายเป็นว่านาทีนี้หากพิจารณาตามสถานการณ์จริง “ทีมประยุทธ์” ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ ในทางตรงกันข้ามเริ่มตั้งลำและเรียนรู้การเมืองได้ทะลุมากขึ้นกว่าเดิม สังเกตได้จาก การนำเสนอโครงการนโยบายและการประชาสัมพันธ์ ที่เวลานี้ทำได้ดีโดยเฉพาะจากการใช้สื่อยุคใหม่ในโลกโซเชียลที่รวดเร็วฉับไว บวกกับการใช้อำนาจที่เป็นรูปแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จการ “กดหัว” ฝ่ายตรงข้ามทำให้ขยับไม่ออก
นอกเหนือจากนี้ด้วยลีลาท่าทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากเทียบกับพวกนักการเมืองระดับ “เขี้ยว” รับรองว่ากินไม่ลง หรือไม่ก็กินขาดด้วยซ้ำไป ไม่เชื่อก็ลองพิจารณาสังเกตดูได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายพบชาวบ้าน การพูดจาโต้ตอบกับสื่อ ถึง “ไม่ต้องอวย” ก็มองเห็นว่าเขาไม่ธรรมดา และที่สำคัญก็คือ เขา “ทันเกม” ทักษิณ ชินวัตร เห็นไส้เห็นพุงกันมานานแล้ว
และหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหันมาแลกหมัดเข้าใส่ ทักษิณ ชินวัตร ตรงๆแบบถี่ยิบมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเชื่อกันว่าในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้เขาจะเปิดตัวในทางการเมืองอย่างชัดเจนมากขึ้น นั่นคือ อาจจะประกาศยอมรับให้บางพรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาแบบ “คนใน” เพื่อหยุดกระแสต้าน “คนนอก” ดังที่ฝ่ายตรงข้ามเคยคาดการณ์กันเอาไว้
เอาเป็นว่าเมื่อประมวลจากสถานการณ์ทั้งหมดในปัจจุบันและแนวโน้มข้างหน้าทุกอย่างอาจกล่าวได้ว่าเริ่มกลับมาอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ถึงได้มั่นใจว่า “ไม่จำเป็นต้องดูดให้เมื่อยปาก” เพราะเวลานี้เหมือนกับว่ามีแต่คนยื่นปากมาให้ดูดจนเมื่อยเท่านั้น!!