เมืองไทย 360 องศา
ไม่ต้องบอกก็ต้องพอเข้าใจกันได้สำหรับกำหนดการคร่าวๆ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร โดยกำหนดเอาไว้อย่างไม่เป็นทางการ ว่า จะเป็นที่จังหวัดน่าน ส่วนการลงพื้นที่นั้นจะเป็นที่จังหวัดลำปาง และ พะเยา จากเดิมที่เคยกำหนดเอาไว้ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงราย แต่พอเกิดเหตุการณ์กรณีทีม “หมูป่าอะคาเดมี่” แม่สาย ที่นักกีฬาฟุตบอลและโค้ชรวม 13 คนติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ทำให้ต้องเลี่ยงไปประชุมที่จังหวัดน่านแทน นัยว่าเพื่อต้องการเลี่ยงกระแส “ดรามา” ออกไป
อีกทั้งยังมีกรณีย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนปัจจุบัน คือ นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ไปเป็นผู้ว่าจังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นคำสั่งย้ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน แต่เพิ่งมีผลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ค้านสายตาชาวบ้าน เพราะจากเหตุการณ์ที่ถ้ำหลวงที่ทำให้ ผู้ว่าฯ เชียงราย คนปัจจุบัน มีฝีมือโดดเด่นจนถูกมองว่าเขาถูกย้าย เพราะไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจบางคน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากการกำหนดการลงพื้นที่ จังหวัดพะเยาก็เป็นหนึ่งในรายชื่อจังหวัด ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่เห็นชอบกับคำสั่งย้ายก็ต้องได้เจอกับ นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา อยู่ดี
หากย้อนกลับไปพิจารณากรณีการย้าย นายณรงค์ศักดิ์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการย้ายจากจังหวัดใหญ่ลงไปอยู่ในจังหวัดที่เล็กกว่า ซึ่งก็คงไม่เกิดปัญหาอะไร อีกทั้งเจ้าตัวก็เป็นข้าราชการที่ดี เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งย้ายไปไหนก็ไป ถึงตอนนั้นก็คงเก็บกระเป๋าจากไปอย่างเงียบๆ แต่บังเอิญว่าเหมือนมี “อะไรดลใจ” ให้เกิดเหตุที่ “ถ้ำหลวง” โครมครามเสียก่อน ทำให้เหมือนกับ “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” ชื่อของ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ดังไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก และมีการเปิดเผยกันว่า ผู้ว่าฯ เชียงราย กำลังจะถูกย้ายจนเกิด “ดรามา” มีเสียงวิจารณ์ มีการขุดคุ้ยเบื้องหลังการย้ายว่าอาจจะมาจากการไปขัดประโยชน์ผู้มีอำนาจบางคน
อย่างไรก็ดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็รีบออกมาสยบแรงต้านดังกล่าว ก่อนจะขยายวงออกไป ทำนองว่า เป็นการย้ายตามวงรอบ และไม่ได้มีความผิด พร้อมชื่นชมว่าเป็นคนดีมีฝีมือ เมื่อไปที่ไหนก็ต้องเจริญ
แต่ล่าสุด ก็มีการเปลี่ยนแปลงกลับมาที่เดิม นั่นคือ กลับมาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรจากที่กำหนดเอาไว้ที่จังหวัดน่าน กลับมาที่จังหวัดเชียงราย ตามอีกรอบ ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันในมุมการเมืองมันก็เหมือนกับการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และยืนยันว่า เป็นการทำตามกำหนดการเดิมที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการรุกเข้าพื้นที่เป้าหมายใช้เป็นโอกาสขยายผลทางการเมืองเป็นการใช้ “โอกาส” ในคราวเดียว สำหรับการ “รุกภาคเหนือ” ตอนบน นอกเหนือจากไล่ตีฐานเสียงของ ทักษิณ ชินวัตร ผ่านทางพรรคเพื่อไทยมาจากภาคอีสาน
แน่นอนว่า ในภาพรวมๆ จะต้องออกมาในแบบของการตรวจราชการ พัฒนาพื้นที่ตามนโยบายของรัฐบาลพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนแล้ว สำหรับคอการเมืองแล้ว ย่อมต้องมองว่าเป็นเรื่อง “การเมือง” แน่นอน ว่านี่คือ การ “รุกคืบ” ขึ้นเหนือ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับเรื่อง “พลังดูด” ที่กำลังออกฤทธิ์เดชอยู่ในเวลานี้จนบรรดาพรรคขนาดใหญ่โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยต่างร้องจ๊ากโวยวายกันไม่หยุดปาก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมองเป็นภาพทางการเมืองก็ตาม ซึ่งเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น คงไม่ใช่เดินขึ้นไปดูดกันถึงภาคเหนือในเวลานี้หรอก เพราะน่าจะดูดกันในทางลึก มีการเจรจาตกลงกันในทางลับเรียบร้อยแล้ว เพราะว่ากันว่าในหลายจังหวัดภาคเหนือนั้น “เสร็จ” ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เชื่อก็ลองสังเกตบทบาทของทีม “บูรณุปกรณ์” ที่จังหวัดเชียงใหม่ เอาไว้ให้ดี ว่าช่วงหลังมีอะไรที่ผิดสังเกตไปหรือไม่
ดังนั้น การเดินทางขึ้นเหนือคราวนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับคณะ เป็นที่จับตามองกันไม่กะพริบอยู่แล้ว เพราะเหมือนกับการ “เหยียบหัวใจ” ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหมดสภาพ เพียงแต่ว่า “เก็บอาการ” ไม่ให้บรรดา “ลูกน้อง” หวั่นไหว จนต้องเผ่นหนีกันไปไม่เป็นขบวน เอาเป็นว่าให้รอดูทีเด็ดแบบย้อนศรว่า “ลุงตู่” ในสไตล์นักการเมืองที่ยิ่งมายิ่งแซ่บขนาดไหน!!