เมืองไทย 360 องศา
ในสภาพอารมณ์ที่ทุกคนกำลังลุ้นเอาใจช่วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กๆ และโค้ชทีมฟุตบอลจำนวน 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ให้สำเร็จและทุกคนปลอดภัย
ขณะเดียวกัน ได้เห็นภาพคนไทยที่รวมพลังทุกครั้งที่เกิดเหตุเพทภัยจนกลายเป็นลักษณะประจำชาติอันน่าชื่นใจไปแล้ว
อย่างไรก็ดี สำหรับอีกด้านหนึ่งสำหรับการเมืองก็ต้องเดินต่อไป และเมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถือว่า “เริ่มเห็นความได้เปรียบ” ที่ชัดเจนขึ้นทุกที เพราะจากคำพูดล่าสุดของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ถือว่า “มีอำนาจมาก” ได้กล่าวอย่างมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้อง “ได้ไปต่อ”
แน่นอนว่า ท่าทีและคำพูดที่แสดงถึงความมั่นใจดังกล่าว มันย่อมต้องมีเหตุผลที่สนับสนุนรองรับ เหมือนกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แสดงออกมาให้เห็น ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็ไม่น่าแปลกใจหากได้เห็นความเคลื่อนไหวหลายอย่างที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะหากสังเกตจากความเคลื่อนไหวของบรรดานักการเมืองระดับ “เขี้ยวลากดิน” ที่หากเทไปทางไหนก็พอมองเห็นสัญญาณแห่งการได้อำนาจรัฐหรือพูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ ได้เป็น “รัฐบาล” นั่นแหละ
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกว่า “สามมิตร” ที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทยในยุคแรกๆ และอดีตรัฐมนตรีว่าการหลายกระทรวง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรี และ นายสุชาติ ตันเจริญ รวมไปถึง นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาหมาดๆ กลุ่มการเมืองในจังหวัดเลย และว่ากันว่า ที่ “ก๊วนสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์ทส” ย่านรังสิต เมื่อไม่กี่วันก่อน มี “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปร่วมวงหารือกับกลุ่ม “สามมิตร” ดังกล่าวนี้ด้วย และ เขาก็ตอบคำถามนักข่าวโดย “ยอมรับว่าได้ไปที่นั่นจริงแต่ไปกันหลายคน”
แน่นอนว่า นี่คือ วงสนทนาทางการเมือง และแต่ละคนก็มีแบ็กกราวนด์ไม่ธรรมดา เพราะมีทั้งเครือข่ายและ “ทุน” และเมื่อคนพวกนี้โคจรมาพบกันแบบนี้ และเมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้และเส้นทางความเป็นไปได้แล้ว ก็ต้องน่าเชื่อว่านี่คือ “ขุมพลังของพรรคพลังประชารัฐ” และจากความเคลื่อนไหวแบบนี้แหละที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ “แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร ที่เชื่อว่ายังเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยเกิดอารมณ์ “ปรี๊ดแตก” ฟาดงวงฟาดงาสาปแช่งให้ถูกชาวบ้านสั่งสอน กล่าวหาว่าไปเพราะเรื่องเงินและถูกต่อรองเรื่องคดี
ทั้งที่จะว่าไปแล้วการเคลื่อนไหวในลักษณะของการ “ดูด” ในทางการเมืองเชื่อว่าคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ก็น่าจะคุ้นชิน เพราะประเภทที่ว่า “ดูด” หรือ “ซื้อ” กันยกพรรคมาแล้วในยุคที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคความหวังใหม่ ก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว เพียงแต่ว่าอารมณ์เสียที่ว่านั้นน่าจะมาจากความหวั่นไหวจากภายในมากกว่า ว่า หากกลุ่ม “สามมิตร” ที่ว่านี้ไปร่วมหัวจมท้ายยอมเป็น “นั่งร้านแบบใหม่” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ เพราะนั่นเท่ากับว่า มีสัญญาณที่จะมีกลุ่มการเมือง อดีต ส.ส. ย้ายออกไปตามไปเป็นพรวนในลักษณะที่ “เลือดไหล” อยู่ตลอดเวลา จึงเป็นไปได้สูง เพราะอย่างที่บอกว่าคนพวกนี้มันเขี้ยวลากดินแถมแต่ละคนยังมีทุนหนาปึ้กอีกด้วย
อีกทั้งด้วยกลไกทางอำนาจ และกลไกรัฐธรรมนูญก็พอมองออกแล้วว่า พรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีทางเข้ามาแบบถล่มทลายได้เหมือนก่อน แม้ว่าอาจจะฝันได้มามากที่สุด แต่คำถามก็คือมากพอที่จะตั้งรัฐบาล หรือไม่ก็ต้องไปรวมกับพรรคอื่น แล้วคือพรรคไหนละ และมีกี่พรรคกับพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลประชาธิปไตยอย่างนั้นเหรอ เพราะต้องไม่ลืมว่าให้จับตา “เดือนกันยายน” ที่ “บิ๊กตู่” จะประกาศถึงอนาคตทางการเมือง ที่เชื่อกันว่า เขาจะแสดงตัวยอมให้บางพรรคเสนอชื่อเป็นนายกฯ และก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นพรรคไหนถ้าไม่ใช่ “พรรคพลังประชารัฐ”
และที่สำคัญเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังกุมสภาพได้อย่างมั่นคงยังไม่มีใครเทียบได้ เมื่อมองไปอีกฝั่งในพรรคการเมืองก็ยังไม่เห็นใครที่แหลมคมพอ ในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ก็อย่างที่ว่าคือยังไม่รู้ว่าจะเอาใครมาเป็น “หุ่นเชิด” คนใหม่
ดังนั้น การที่ “พี่ใหญ่” กล่าวอย่างมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องได้ “ไปต่อ” นั้นนาทีนี้ก็คงไม่มีใครกล้าเถียง เพราะสภาพเท่าที่เห็นมันก็ใช่จริงๆ