xs
xsm
sm
md
lg

“โภคิน” รอดคดีรถ-เรือดับเพลิง ศาลชี้ไม่ได้ละเลยหน้าที่ ไม่ต้องจ่าย 1.4 พันล้านให้ กทม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายโภคิน พลกุล (แฟ้มภาพ)
“โภคิน” โล่ง ศาลปกครองสูงสุดสั่งไม่ต้องชดใช้ 1,434 ล้านบาทให้ กทม. เหตุไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ปมทุจริตจัดซื้อรถเรือดับเพลิง กทม.ตั้งแต่เมื่อปี 47

วันนี้ (7 มิ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ให้นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีทุจริตโครงการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยจำนวน 1,434,463,937.07บาท

โดยศาลเห็นว่า โครงการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง รวมทั้งอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อครั้งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย เข้าเสนอโครงการจัดหารถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยในลักษณะรัฐต่อรัฐ ตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย. 2546 ต่อมาเมื่อนายโภคินได้เข้ารับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ผู้ว่าฯ กทม.ได้มีหนังสือลงวันที่ 12 ต.ค. 2547 แจ้งถึงกระบวนการจัดซื้อดังกล่าวอาจดำเนินการมาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการสืบสวนสอบสวนการจัดซื้อดังกล่าว

ดังนั้น ด้วยอำนาจหน้าที่ของนายโภคินในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯ ที่ต้องควบคุม ดูแลการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อพบหรือมีเหตุอันควรสงสัยองค์กรที่อยู่ใต้การควบคุมดูแลว่าอาจมีการบริหารงานที่ส่อไปในทางที่ไม่สุจริตและอาจทำให้เกิดความเสียหายหรือเสียประโยชน์อย่างใดๆ แล้ว นายโภคินย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการสั่งให้มีการตรวจสอบสอบสวนเรื่องราวตลอดจนข้อเท็จจริงที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินการถูกต้องและชอบด้วยระเบียบกฎหมายหรือไม่ แต่นายโภคินไม่ได้กระทำเช่นนั้น จึงเป็นการไม่ดำเนินการควบคุมดูแลการบริหารราชการของกรุงเทพมหานคร ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามมาตรา 123 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 อันถือได้ว่าเป็นการละเลยหรืองดเว้นการกระทำตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อความตามหนังสือลงวันที่ 5 พ.ย. 2547 ที่นายโภคินมีถึงผู้ว่าฯ กทม.ว่า “ควรดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขใน Agreement of Understanding (A.O.U.)” นั้น มิได้มีลักษณะเป็นการสั่งการให้ดำเนินการ คงเป็นเพียงการแจ้งตอบข้อหารือและให้ความเห็นประกอบ เนื่องจากนายโภคินมีอำนาจหน้าที่เพียงควบคุมกำกับดูแลการบริหารราชการของกรุงเทพมหานครเท่านั้น ไม่มีอำนาจสั่งยกเลิกเพิกถอนนิติกรรมใดๆ อันเป็นอำนาจโดยตรงของผู้ว่าฯ กทม.ได้ ดังนั้น หากผู้ว่าฯ กทม.ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนายโภคิน ผู้ว่าฯ กทม. ก็ชอบที่จะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นได้ ซึ่งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าภายหลังจากที่ผู้ว่าฯ กทม.ได้รับหนังสือลงวันที่ 5 พ.ย. 2547 แล้วผู้ว่าฯ กทม.เองก็ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ฟ้องคดีโดยการเปิด L/C ให้แก่บริษัทสไตเออร์ฯ ทันที แต่ผู้ว่าฯกทม.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาทบทวนรายละเอียดการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิงและอุปกรณ์ดังกล่าวอีกครั้ง จึงเห็นได้ว่าทั้งกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าฯ กทม.ไม่จำต้องปฏิบัติตามหนังสือของนายโภคิน และสามารถเจรจาต่อรองหรือขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาได้ หากเห็นว่าไม่ชอบธรรม

ส่วนการที่ผู้ว่าฯ กทม ได้เปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2548 และกรุงเทพมหานคร ได้ชำระค่าสินค้าในงวดที่ 1-9 ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ ตามข้อตกลงซื้อขาย ก็เนื่องจาก รมช.มท.ได้มีหนังสือลงวันที่ 16 ธ.ค. 47แจ้งให้ผู้ว่าฯ กทม.ดำเนินการเปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ โดยทันที จึงเห็นได้ว่าการเปิด L/C ของผู้ว่าฯ กทม. มิได้เป็นผลโดยตรงมาจากการตอบหนังสือข้อหารือของนายโภคิน

ดังนั้น ความเสียหายที่กรุงเทพมหานครได้รับจากการดำเนินการเปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงมาจากการที่นายโภคินละเลยต่อหน้าที่ในการกำกับดูแลกรุงเทพมหานคร เช่นกัน นายโภคินจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อกรุงเทพมหานครและไม่ต้องรับผิดจากการที่กรุงเทพมหานครต้องชำระราคารถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยในงวดที่ 1-9 รวมทั้งความเสียหายอื่นๆ เนื่องจากกรุงเทพมหนครได้รับรู้รับทราบและรับที่จะดำเนินการเองมาตั้งแต่ต้น และนายโภคินเองก็ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องในการทำสัญญาหรือตกลงในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของสัญญา และเป็นเรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องรับผิดตามสัญญาเป็นการเฉพาะ จึงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ให้นายโภคินคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่มีคำสั่งดังกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น